

วันนี้ (1 มิ.ย.) นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมช.คลัง อภิปรายว่า ขณะนี้เรากำลังประสบกับภาวะวิกฤตงบประมาณ ซึ่งตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง มาตรา 20 ระบุชัดเกี่ยวกับการขาดดุล และงบลงทุน ซึ่งเราทำผิดข้อนี้ แม้จะบอกว่าได้แก้ไขโดยมีการแจ้งกล่าวก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบงบประมาณขณะนี้เข้าสู่จุดบอด เรากำลังจะประสบปัญหาชนเพดาน ตนไม่ได้ตำหนิรัฐบาล เพียงแต่อยากให้เราดูแลระบบงบประมาณให้ดี จะได้เป็นเครื่องมือสำคัญของประเทศ ซึ่งตนเป็นห่วงที่นายกฯชี้แจงเรื่องงบลงทุน โดยเพิ่มแหล่งลงทุน โดยเฉพาะการกู้เงินตาม พ.ร.บ.หนี้ ยืนยันว่า ไม่ใช่การแก้ไขปัญหางบประมาณ และจะยิ่งทำให้ระบบงบประมาณอ่อนแอลง การที่พยายามจะหลบโดยไปใช้ พ.ร.ก.กู้เงิน จะทำให้รัฐสภาไม่ได้ตรวจสอบ ประชาชนไม่ทราบ การประกาศใช้ พ.ร.ก. แล้วนำงบไปใช้เลย จะทำให้ระบบงบประมาณเกิดความเสียหายมาก ดังนั้น ยืนยันว่า พ.ร.ก.กู้เงินไม่ใช่หลักงบประมาณที่ดี
นายพิสิฐ กล่าวต่อว่า ในระยะสั้นเห็นด้วยที่รัฐบาลจะจัดงบให้เศรษฐกิจที่ขาดการใช้จ่าย ที่เศรษฐกิจกำลังฝืดเคือง และอยากเห็นคนจัดสรรงบนำงบไปช่วยโควิดโดยตรง งบที่ยังไม่จำเป็นก็อาจรอก่อนได้ ที่สำคัญ ถ้าโควิดหายไป เราต้องกลับฟื้นมาได้ หลายประเทศไม่อาจฟื้นระบบการคลังเป็นปกติได้ และเจอวิกฤตใหม่
ดังนั้น ตนจึงอยากให้สังคายนาระบบงบประมาณใหม่ ทบทวนนว่าถูกต้องหรือไม่ที่บอกว่าการสร้างรั่ว สร้างป้ายขนาดใหญ่ สร้างถนนที่ไม่มีรถวิ่ง คือ การลงทุน สิ่งเหล่านี้ต้องทบทวน ขณะนี้ระบบงบประมาณกำลังอยู่ในวิกฤต เพราะค่าใช้จ่ายกำลังบวมขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบกลาง กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นสวัสดิการข้าราชการ อยากให้เราแยกหมวดให้ชัดเจน เพื่อการตรวจสอบ
นายพิสิฐ กล่าวอีกว่า ฐานะการคลังและหนี้ของรัฐบาลกำลังจะเป็นตัวปัญหาใหญ่ เพราะเรื่องการใช้จ่ายโควิดที่มีการกู้ 1 ล้านล้านบาท กับกู้ 5 แสนล้านบาท ประกอบกับรายได้ของรัฐบาลที่ตกต่ำ เพราะเศรษฐกิจฝืดเคือง แม้เจ้าหน้าที่พยายามจะบอกว่าหนี้สาธารณะยังไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ และปั่นตัวเลขจีดีพี ไม่อยากให้เราทำผิดกฎหมายโดยอนุมัติงบประมาณไป เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 65 จะขาดดุลถึง 7 แสนล้านบาท
“หากสภาฯอนุมัติงบปี 65 เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลทำผิด เพราะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 10(1) ต้องแถลงฐานะการคลัง แต่การแถลงของนายกฯเมื่อวานนี้ ยังมีความไม่สมบูรณ์ หรือไม่แน่ใจว่าจงใจทำผิด พ.ร.บ.หรือไม่ นายกฯแถลงเพียงพูดถึงตัวเลขหนี้ ตัวเลขกี่ตัวที่ไม่ใช่ฐานะการคลัง มาตรา 11 ต้องแถลงวิธีการหาเงิน แต่นายกฯไม่แถลง ดังนั้น จึงไม่อยากเห็นเราทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่นายกเซ็นเอง รัฐบาลไม่แสดงฐานะการคลัง ไม่อธิบายหนี้ที่เสนอเพิ่มเติม ไม่แสดงวิธีการหาเงินชดเชยการขาดดุล ทั้งนี้ ก็เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้” นายพิสิฐ กล่าว
ด้าน นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การจัดสรรงบรายจ่ายปี 2565 น่าผิดหวัง งบเอสเอ็มอีถูกตัด รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การตัดงบบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) คือ การตัดโอกาสที่เอสเอ็มอีจะได้กู้เงิน ตัวเลขล่าสุด รัฐบาลมียอดค้างจ่าย บสย. 56,000 ล้านบาท ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้เอสเอ็มอี 4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนใหญ่กู้เงินได้มากขึ้น 35% ผิดกับเอสเอ็มอีกู้ได้ลดลง ถูกตัดออกจากวงจรการเข้าถึงสินเชื่อ รัฐบาลปล่อยทุนใหญ่กลืนกินเอสเอ็มอี รัฐบาลไม่ต้องการช่วยเอสเอ็มอี ทำให้เอสเอ็มอีเสี่ยงต่อการปิดกิจการจำนวนมาก