

- พบไทยได้ประโยชน์อื้อทั้งด้านการค้า บริการ ลงทุน
- ดันจีดีพี-ส่งออกไทยพุ่งแต่นำเข้าสินค้าจากแคนาดาก็พุ่งด้วย
- ย้ำเจรจาร่วมอาเซียนมีโอกาสต่อรองสูงกว่าไทยเจรจาเดี่ยว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการศึกษาเบื้องต้นของบริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด กรณีการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-แคนาดา ว่า ผลศึกษาพบว่า หากทั้ง 2 ฝ่ายลดภาษีศุลกากร 50-100% ในทุกรายการสินค้าที่ค้าขายระหว่างกัน จะทำให้มูลค่าเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) เพิ่มขึ้น 7,968 – 12,416 ล้านบาท การลงทุนขยายตัว 36,288 – 77,184 ล้านบาท และการส่งออกไปแคนาดาเพิ่มขึ้น 7,808-16,416 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกของไทยที่คาดขยายตัว เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องมือและเครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น แต่ไทยจะนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เพิ่มขึ้น 7,456-15,840 ล้านบาท สินค้าที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ธัญพืชปรุงแต่ง ผลิตภัณฑ์โลหะ ไม้แปรรูป เครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 14-29 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมได้จัดระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อผลการศึกษาเบื้องต้นดังกล่าว ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เห็นว่า แม้แคนาดาจะมีประชากรเพียง 38 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และยังมีแนวโน้มที่ประชากรเพิ่มขึ้นจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาของประชากรจากประเทศอื่น ส่งผลให้แคนาดาเป็นตลาดแห่งการบริโภค และมีกำลังซื้อสูง ดังนั้น การทำเอฟทีเออาเซียน-แคนาดา นอกจากจะช่วยสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทยในการเข้าสู่ตลาดแคนาดาแล้ว ไทยยังสามารถใช้แคนาดาเป็นประตูในการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งแคนาดามีเอฟทีเอด้วย แต่ไทยยังไม่มี ขณะเดียวกัน การเปิดตลาดให้กับสินค้าจากแคนาดาจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และลดต้นทุนให้ผู้นำเข้าสินค้าวัตถุดิบของไทย
ขระเดียวกัน ภาคบริการของไทยก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร ผู้ประกอบอาชีพพ่อครัวและแม่ครัว บริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งแคนาดามองว่า ไทยมีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่น และมีบริการด้านสุขภาพในระดับโลก สำหรับด้านการลงทุน คาดว่า ไทยจะดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น พลังงาน ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน อิเล็กทรอนิกส์ การจัดการสิ่งแวดล้อม การเงิน เป็นต้น ซึ่งเป็นสาขาที่แคนาดามีศักยภาพ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการของไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าว
“แต่การทำเอฟทีเอกับแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีมาตรฐานสูง ถือเป็นความท้าทายของไทยที่ต้องเตรียมความพร้อมในประเด็นต่างๆ เช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ เป็นต้น รวมทั้งต้องใช้ความรอบคอบในการเจรจา ซึ่งการเจรจาร่วมกับอาเซียน น่าจะช่วยให้ไทยมีแนวร่วมจากสมาชิกอาเซียนที่มีความพร้อม และความคาดหวังใกล้เคียงกัน”
นางอรมน กล่าวต่อว่า เมื่อการศึกษาเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว จะนำผลการศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ทางเว็บไชต์ กรม www.dtn.go.th รวมทั้งจะจัดประชุมภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำกรอบเจรจาเอฟทีเออาเซียน-แคนาดา ก่อนเสนอระดับนโยบายพิจารณา เพื่อให้ไทยสามารถร่วมกับอาเซียนอื่น ตัดสินใจเรื่องการเปิดเจรจาจัดทำเอฟทีเอดังกล่าว ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-แคนาดา เดือนก.ย.นี้
