

- หลังสมาชิกแห่นำเข้าจากไทยเกือบ 500 ล้านเหรียญฯ
- ส่วนประเทศคู่เอฟทีเออื่นๆ นำเข้าพุ่งทั้งจีน ฮ่องกง
- รับอานิสงส์เอฟทีเอ 14 ประเทศไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สินค้านมและผลิตภัณฑ์นม เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกดาวรุ่งของไทย ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาและปรับตัวได้ดีท่ามกลางกระแสการค้าโลกที่มีความท้ายทายสูง โดยในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย.63 สามารถส่งออกได้สูงถึง 516.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 โดยสัดส่วนสูงถึง 94.7% ส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ คิดเป็นมูลค่า 488.9 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 6% โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่ง สัดส่วน 84.5% ตามด้วย จีน 4.4% และฮ่องกง 4% สินค้าส่งออกสำคัญ คือ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต นมยูเอชที นมถั่วเหลืองที่มีนมผสม และนม/ครีมที่ไม่เติมน้ำตาล
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้น คือ อุตสาหกรรมมีศักยภาพในการผลิตและมีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน จึงทำให้สินค้าจากไทยเป็นที่นิยม และไทยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมนมในอาเซียนได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วง 11 เดือนปี 63 ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวไปอาเซียนถึง 436.2 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 7% และขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาด เช่น กัมพูชา 153.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 1.5%, ฟิลิปปินส์ 72.1 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 13.2%, ลาว 63 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 9.2%, สิงคโปร์ 54 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 16.1% เป็นต้น
นอกจากนี้ ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ซึ่งภายใต้เอฟทีเอของไทยที่มีผลบังคับใช้แล้ว 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ คือ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกงนั้น มี 14 ประเทศยกเว้นเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากไทยแล้ว ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ส่วนอีก 4 ประเทศ ได้ลดภาษีนำเข้าให้บางส่วน แต่ยังเก็บภาษีนำเข้าในบางสินค้า เช่น ณเก็บภาษีนำเข้านมที่ 21.3-25.5% โยเกิร์ต 21.3-29.8%, เกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้านม ครีมจืด และโยเกิร์ตที่ 28.8%, อินเดีย ไม่เก็บภาษีนำเข้านมเปรี้ยวและโยเกิร์ต แต่ยังเก็บภาษีนำเข้านมที่ 20-60% ส่วนเปรู เก็บภาษีนำเข้านมยูเอชที และเครื่องดื่มที่มีนมผสมที่ 6% เป็นต้น
“กรมให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของเกษตรกรและผู้ประกอบการโคนมไทย และได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมปศุสัตว์ และชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจในการปรับตัวและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในโลกการค้าเสรี ให้กับกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแผนจะจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ระหว่างผู้ประกอบการโคนมไทยกับผู้นำเข้า ผู้กระจายสินค้า ผู้แทนห้างค้าส่ง/ค้าปลีก ในตลาดจีน”