พาณิชย์งัดมาตรการกดราคาถุงมือยางธรรมชาติ



.หลังพบราคาขายเพิ่มขึ้นสูงมากทำคนซื้อเดือดร้อน

.จี้โรงงานตั้งราคาขายให้สอดคล้องต้นทุนวัตถุดิบ

.ถ้าสถานการณ์ราคา-ปริมาณไม่ดีขึ้นใช้ไม้แข็งเล่นงาน

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังจากหารือกับสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย โรงงานผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมร้านขายยา และสมาคมเภสัชกรรมชุมชน เพื่อติดตามสถานการณ์ ปริมาณและราคาถุงมือยาง (ยางธรรมชาติ) ว่า ขณะนี้ พบว่า ราคาจำหน่ายถุงมือยางปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งสมาคมผู้ผลิตถุงมือยาง  ชี้แจงว่าผลจากความต้องการสั่งซื้อถุงมือยางจากในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบที่เป็นยางธรรมชาติปรับสูงขึ้น ซึ่งผลดีต่อทั้งชาวสวนยาง และนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นจากการส่งออก อย่างไรก็ตาม ได้ขอความร่วมมือให้โรงงาน กำหนดราคาขายให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบแล้ว ซึ่งโรงงานยืนยันว่า  เมื่อต้นทุนวัตถุดิบลดลง ราคาถุงมือยางจะลดลงสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตแน่นอน  

ส่วนในด้านกำลังการผลิต พบว่า ขณะนี้ สามารถผลิตได้กว่า 60,000 ล้านชิ้น/ปี หรือ 30,000 ล้านคู่ ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศอยู่ที่ 3,500 ล้านชิ้น/ปี แบ่งเป็น ถุงมือยางสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ประมาณ 2,000 ล้านชิ้น/ปี และถุงมือยางที่จำหน่ายทั่วไปประมาณ 1,500 ล้านชิ้น/ปี โดยโรงงานยืนยันว่า มีปริมาณถุงมือยางเพียงพออย่างแน่นอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากสมาคมร้านขายยาและสมาคมเภสัชกรรมชุมชน ที่แจ้งว่า ขณะนี้ปริมาณสินค้ามีเพียงพอ และสามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ แต่ความต้องการก็ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ถุงมือพลาสติก ซึ่งใช้สะดวกและประหยัดกว่า

“แต่เพื่อให้มั่นใจว่า บุคลากรทางการแพทย์จะมีถุงมือยางไว้ใช้ และมีสำรองอย่างเพียงพอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ จึงให้โรงงานผู้ผลิต จัดส่งถุงมือยางให้กับองค์การเภสัชกรรมในเดือนพ.ค. และเดือนมิ.ย.นี้ จำนวน 120 ล้านชิ้น และให้เตรียมสำรองพร้อมส่งมอบอีกเดือนละ 40 ล้านชิ้น โดยในส่วนโรงพยาบาลเอกชน ให้จัดส่งตามปริมาณที่ต้องการอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้กระจายไปยังร้านขายยาและร้านค้าต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น”

ขณะเดียวกัน ได้ตั้งกลุ่มประสานงานระหว่างสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมร้านขายยา สมาคมเภสัชกรรมชุมชน และกรมการค้าภายใน เพื่อประสานการกระจายถุงมือยางให้มีเพียงพอ และตรวจสอบราคาต้นทาง เพื่อไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคา ซึ่งสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทยและโรงงานผู้ผลิตถุงมือยางยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

นายวัฒนศักย์ กล่าวต่อว่า กรมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ปริมาณและราคาจำหน่ายถุงมือยางยังไม่ดีขึ้น จะใช้มาตรการเข้มข้นต่อไป และหากพบว่า ผู้ค้าส่งค้าปลีกมีการจำหน่ายแพงเกินสมควร อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประชาชนที่พบเห็นการเอารัดเอาเปรียบทางการค้า สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรม โทร.1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ ที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ถุงมือยาง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก และเริ่มหาซื้อได้ยาก โดยราคาขายปลีกล่าสุดขณะนี้ อยู่ที่กล่อง (50 ชิ้น ชนิดมีแป้ง) ละ 220-230 บาท จากในช่วงปกติที่กล่องละ 150-160 บาท และเมื่อเกิดการระบาดรอบ 2 คลัสเตอร์แพกุ้ง ขยับขึ้นเป็นกล่องละ 195 บาท ขณะที่ราคาส่งออกถุงมือยางธรรมชาติ อยู่ที่กล่องละ 6-7 เหรียญสหรัฐฯ และถุงมือยางสังเคราะห์ (ไนไตร) อยู่ที่กล่องละ 10 เหรียญฯ เพราะความต้องกางสูงขึ้น แต่วัตถุดิบ โดยเฉพาะยางธรรมชาติลดลง