

- เผยปีนี้ เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้จากการร่วมทุน รับอานิสงส์ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว
- ปักหมุดเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน เพิ่มกลุ่มบ้านระดับกลางที่มีกำลังซื้อหนาแน่น
- มีหมัดเด็ดเพิ่มสัดส่วนยอดขายบ้านลักซ์ชัวรี่ พร้อมเปิดคอนโดใหม่ในรอบ 4 ปี
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 ว่า กลุ่มบริษัทมุ่งสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ การเพิ่มยอดขาย การพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงการกระจายธุรกิจ โดยปีนี้ประมาณการรายได้รวมของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท เป็นรายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 16,000 ล้านบาท และแกรนด์ แอสเสทฯ 6,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 9,600 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 3,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 6,400 ล้านบาท และธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท

นายวงศกรณ์ กล่าวต่อว่า การขยายตัวในปีนี้ มี 3 ปัจจัยหลักเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ การขยายตัวจากโครงการแนวราบ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัท พร้อมทั้งจะรุกเปิดโครงการใหม่แนวราบเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดขายจากโครงการแนวราบจะเป็นสัดส่วน 74% ของยอดขายรวม
นอกจากนี้ยังมี การขยายตัวจากโครงการร่วมทุน ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวจากการลงทุนในโครงการร่วมทุน ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยรายได้จากโครงการร่วมทุนคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้รวม เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายโครงการร่วมทุนเติบโตขึ้น 62% จากปีก่อน และที่สำคัญคือ ธุรกิจโรงแรม ของกลุ่มบริษัท ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว

ทั้งนี้ โรงแรมในกรุงเทพฯ คาดว่าจะทำรายได้เท่ากับปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยโรงแรมในกลุ่มทั้งหมดคาดว่า จะมีอัตราเข้าพักรวมกันเฉลี่ยทั้งปีที่ 72% อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ช่วงต้นปี 66 จนถึงปัจจุบันอัตราเข้าพักในวันธรรมดามีอัตราสูงถึง 90% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี นอกจากนี้ บริษัทยังมีการกระจายธุรกิจ ด้วยการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2567 อีกด้วย สำหรับในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้แค่ 1,000 ล้านบาท
นายวงศกรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการ ยู คิโรโระ ที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ทางบริษัทได้ดำเนินการขายในส่วนของโรงแรมไปหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็จะมีเหลือในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังเหลืออีกมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซี่งในปีนี้จะขายรับรู้รายได้อีกประมาณ 800 ล้านบาท และในปี 67 ก็จะรับรู้รายได้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ อีกทั้งในปีนี้บริษัทยังตุนยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) อีกกว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้

ด้านนายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปีนี้บริษัทวางเป้าขายไว้ที่ 16,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ9,700 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมทั้งในประเทศและประเทศญี่ปุ่น 2,400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนอีก4,400 ล้านบาท
โดยปีนี้จะมีการเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 9 โครงการ มูลค่ารวม11,730 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 3 โครงการ มูลค่า 2,770 ล้านบาท โครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโมฟอเรสทรี” เพิ่มอีก 1 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในรอบ 4 ปี

“แนวทางในปีนี้ บริษัทจะเน้นการเพิ่มสินค้าในกลุ่มบ้านระดับบน ซึ่งเติบโตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังเติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายบ้านกลุ่มลักซ์ชัวรี่ขึ้นมาอยู่ที่ 50% หรือ 5,000 ล้านบาท เป็น 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดบ้านลักซ์ชัวรี่ ด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นทำเลในเมือง เปิดตัวบ้านลักซ์ชัวรี่ 3 ชั้นแบรนด์ใหม่ “วาวิล่า” รวมถึงยังมีแบบบ้านใหม่ทั้งในโครงการระดับบนของบริษัทและโครงการร่วมทุน สำหรับโครงการที่จะเปิดใหม่ จะเพิ่มน้ำหนักกลุ่มโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางมากขึ้น เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้นในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อหนาแน่น” นายวสันต์ กล่าว

สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางที่จะเปิดใหม่ปีนี้ มี 7 โครงการ มูลค่ารวม 10,930 ล้านบาท ใน 2 แบรนด์หลักคือ เพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค ปีนี้ยังมีการเปิดคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น โครงการใหม่บนทำเลถนนพัฒนาการด้านหลังโรงพยาบาลสินแพทย์ พัฒนาการ โดยกำหนดเปิดตัวในไตรมาส 2 ปีนี้
ทั้งนี้ ยอดขายเกินกว่า 50% จะมาจากโครงการใน 4 โซนหลักทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ ได้แก่กรุงเทพกรีฑา สุขุมวิท 77 ชัยพฤกษ์ และ ราชพฤกษ์ ในแต่ละทำเลบริษัทมีทั้งโครงการที่กำลังพัฒนาและการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงมีแผนพัฒนาให้เป็นชุมชนในการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย

นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบโจทย์ทั้งเรื่องเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยนำเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยมาใช้ในแบบบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้งโซลาร์รูฟเพื่อใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การนำระบบสมาร์ทโฮมมาใช้เพื่อลดการสัมผัสเพื่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย รวมทั้ง การติดตั้ง EV Charger เพื่อรองรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
