พรรคการเมืองเสนอปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

.ก้าวไกลเก็บภาษีซื้อขายหุ้นล็อตใหญ่และเทรดนอกตลาด
.ไทยสร้างไทยแขวนกฎหมายที่เป็นอุปสรรคธุรกิจชั่วคราว
.ปชป.ใช้หาดใหญ่เป็นฮับการเงิน-เพื่อไทยยกเลิกภาษีที่ดิน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดเสวนา Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า โดยได้เชิญพรรคการเมืองต่างๆ ร่วมนำเสนอนโยบายและมาตรการด้านภาษี ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปภาษีของประเทศ ซึ่งจะเน้นนโยบายภาษีเงินได้นิติบุคคล และนิติบุคคล การจัดเก็บภาษีขายหลักทรัพย์บุคคล จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ฯลฯซึ่งมีพรรคการเมืองเข้าร่วม 6 พรรค คือ พรรคก้าวไกล ชาติพัฒนากล้า ไทยสร้างไทย ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติ

ก้าวไกลเสนอเก็บภาษีซื้อขายหุ้นบิ๊กล็อต
โดยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย กล่าวว่า พรรคมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้พลังงานลดลง มาหักลดหย่อนได้ 1.5-2 เท่า เก็บภาษถุงพลาสติกเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม กำหนดเพดานการปล่อยก๊าซของแต่ละอุตสาหกรรม ส่วนการเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น ไม่ควรเก็บจากบริการที่มีกำไร แต่เก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นในตลาด และมุ่งเก็บจากรายใหญ่ ที่ขายเป็นบิ๊กล็อต และที่เทรดนอกตลาด
ส่วนภาษีที่ดิน ที่มีปัญหาหลบเลี่ยงภาษีเอาพื้นที่รกร้างมาปลูกกล้วย ปลูกมะนาวใจกลางเมือง ต้องแก้ไขด้วยการให้อำนาจท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์การจัดเก็บเอง และการประเมินภาษีต้องสอดคล้องกับสีของผังเมือง สำหรับภาษีศุลกากร ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ติดสินบนรางวัลนั้น เถียงกันนานว่าควรให้หรือไม่ พรรคเห็นว่า ถ้าจะให้ ควรเป็นเงินที่ส่งเข้าคลังก่อน แล้วจัดสรรเป็นแรงจูงใจ และทำเป็นเคพีไอของหน่วยงาน ไม่ใช่ของบุคคล ซึ่งจะทำให้ผลประโยน์ลดลงได้

ไทยสร้างไทยแขวนกฎหมายกว่า 1.3 พันฉบับ
นายสุพัน มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ประเทศมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจกว่า 1,300 ฉบับ ถ้าจะเสนอให้ปรับแก้ไข หรือกีโยตินกฎหมายตอนนี้ ไม่ทัน แต่พรรคมีนโยบายที่จะออกพ.ร.ก. 1 ฉบับ เพื่อแขวน หรืองดบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอุสรรคทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำธุรกิจ อีกทั้งยังจะสร้างแต้มต่อให้กับเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากช่วงล็อกดาวน์ โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และให้เข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) และใช้ใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ (e-Invoice)


ส่วนผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจโดยเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือใช้บีซีจี (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว) ให้ได้สิทธิประโยชน์บีโอไอ 5 ปี ขณะที่ผู้ประกอบการที่ไม่ได้บีโอไอ ก็ให้นำค่าใช้จ่ายจากการปรับเปลี่ยนเครื่องหจักมาหักลดหย่อนได้ 2 เท่า ส่วนผู้ซื้อสินค้าบีซีจี ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 20% นอกจากนี้ จะลดความซ้ำซ้อนของการขออนุญาต โดยจะยกเลิกการขออนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในสินค้าที่เป็นอาหาร เครื่องสำอาง น้ำดื่ม ฯลฯ จะให้ขออนุญาตจากอย.เฉพาะยา และเครื่องมือแพทย์เท่านั้น เพราะมีกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควบคุมอยู่แล้ว


“ที่สำคัญ กรมภาษี 3 กรมคือ สรรพสากร สรรพสามิต และศุลกากร ต้องทำงานร่วมกัน และมีฐานข้อมูลเดียวกัน (เดต้า วัน) เพื่อจะได้ไม่จัดเก็บซ้ำซ้อน และลดความยุ่งยาก ยิ่งโต๊ะเยอะ ผู้ประกอบการยิ่งเสียเงินมากขึ้น เสียเวลามากขึ้น”

ประชาธิปัตย์ใช้ “หาดใหญ่” เป็นฮับการเงินภูมิภาค
นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การหาเสียงของพรรคการเมือง เป็นการลดแลกแจกแถม แต่อยากให้คิดให้ดี เพราะมีผลต่องบประมาณของประเทศ สำหรับพรรค เสนอให้หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค โดยใช้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นตัวช่วย และให้แต้มต่อเอสเอ็มอี เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับ และมีทุนจากหลายประเทศต้องการเข้ามาลงทุนที่ไทย เช่น จีน อินเดีย อาหรับ และมองว่า ขณะนี้ สิงคโปร์แพงเกินไปแล้ว นอกจากนี้ จะใช้มาตรภาษีจูงใจให้คนอยากมีลูกมากขึ้น เช่น หักลดหย่อนบุตรเป็น 100,000 บาท จากปัจจุบัน 30,000 บาท อีกทั้งยังจะเก็บภาษีคนรวยในท้องถิ่นต่างๆ จากปัจจุบัน ที่เก็บภาษีเงินได้ 360,000 ล้านบาท/ปี แต่ 300,000 ล้านบาทเก็บจากคนในกรุงเทพฯ อีก 60,000 ล้านบาทเก็บจากคนในต่างจังหวัด ทั้งๆ ที่ต่างจังหวัดมีคนรายได้สูงจำนวนมาก


ส่วนเรื่องภาษีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไทยกลับมองข้าม และยังไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งไทยต้องเตรียมความพร้อมให้ดี ไม่เช่นนั้น อาจโดนรักแกจากประเทศใหญ่ ขณะที่ภาษีศุลกากร ต้องมีนโยบายให้ชัดเจน เพราะปัจจุบัน ยังจัดเก็บไม่เหมาะสม ต้องมีการแก้ไขให้ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน

เพื่อไทยยกเลิกภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้าง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะเสนอให้พรรคยกเลิกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกลับมาใช้ภาษีโรงเรือนเหมือนเดิม เพราะภาษีที่ดิน ออกมาในปี 62 และยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การออกหมายไม่รอบคอบ จึงเกิดปัญหา และการหลบเลี่ยงภาษี หลักการภาษีของไทยอยู่ที่ความสามารถในการจ่าย แต่การจัดเก็บภาษีที่ดินของไทย ทำให้คนที่สามารถจ่ายได้ และเคยจ่ายภาษีโรงเรือนดีๆ กลับจ่ายภาษีที่ดินน้อยลง แต่คนที่ไม่ควรต้องจ่าย กลับต้องจ่ายมากขึ้น ไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำจริงตามที่กล่าวอ้าง


สำหรับการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการเก็บภาษีกำไรของบุคคลธรรมดา ไม่คุ้ม ยุ่งยาก ขณะที่ภาษีเงินได้ไม่จำเป็นต้องจัดเก็บในอัตราสูงๆ แต่การทำให้คนมีรายได้เพิ่ม เข้าสู่ระบบมากขึ้น การจัดเก็บรายได้ก็จะสูงขึ้น