ความคืบหน้าของการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารของประเทศปะทะวันที่ 4 อาเซอร์ไบจานลั่น จะสู้จนอาร์เมเนียถอนทัพจากพื้นที่พิพาทและประเทศอาร์เมเนีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมายังคงปะทะกันอย่างดุเดือด โดยทางอาเซอร์ไบจานได้เผยแพร่ภาพวีดิโอว่าพวกเขาได้ทำลายรถถังของฝ่ายตรงกันข้าม 2 คัน
พร้อมระบุว่าทหารอาร์เมเนียหนีไปยังพื้นที่แถบหมู่บ้านโตนาเชน ด้านฝ่ายอาร์เมเนียรายงานว่า พลเรือนของพวกเขา 3 คน เสียชีวิตในการโจมตีทางอากาศฝีมืออาเซอร์ไบจาน ที่เมือง มาร์ตาแคร์ต โดยการต่อสู้ล่าสุดเริ่มปะทะกันมาตั้งแต่วันอาทิตย์
อาร์เมเนียเผยด้วยว่า นับตั้งแต่ความรุนแรงปะทุขึ้น พวกเขามีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและ 80 นาย ชาวบ้านเสียชีวิตอีก 7 ศพ ส่วนอัยการอาเซอร์ไบจานเผยในวันพุธว่า พลเมืองของพวกเขาเสียชีวิต 14 ศพและบาดเจ็บอีก 46 คน
การปะทะกันระหว่างอาเซอร์ไบจานกับอาร์เมเนียยังทำให้เกิดความกังวลว่า กองกำลังต่างชาติจะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งนี้ด้วย หลังจากตุรกีออกมาประกาศว่า พวกเขาพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะช่วยอาเซอร์ไบจาน ยึดคืนพื้นที่พิพาทแห่งนี้ ทำให้ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ต้องออกมาเตือนที่เหมือนกับพยายามก่อสงครามของตุรกี
ทั้งนี้อาร์เมเนียออกมากล่าวหาเมื่อวันอังคารว่า เครื่องบินรบ เอฟ-16 ของตุรกี ยิงเครื่องบินรบของพวกเขาตก แต่ฝ่ายตุรกีปฏิเสธ ขณะที่นักรบติดอาวุธคนหนึ่งบอกกับสำนักข่าว บีบีซี ภาษาอาราบิก ว่า เขาถูกเกณฑ์มาจากซีเรีย และถูกส่งตัวผ่านตุรกีให้มาร่วมต่อสู้ในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค แต่นาย อิลนูร์ เชวิค ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีตุรกี ปฏิเสธข่าวนี้ และว่าเป็นรายงานที่ไม่มีมูลความจริง
กรณีพิพาทเกิดขึ้นในพื้นที่ภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ซึ่งเกิดขึ้นมานานหลายสิบปี ทั้งคู่ที่ต่างเป็นอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต ข้อพิพาทเกิดขึ้นก่อนสหภาพโซเวียตล่มสลายด้วยซ้ำ โดยที่ดินแดนเทือกเขาสูงซึ่งอยู่ระหว่างสองประเทศแห่งนี้ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาร์เมเนียซึ่งเป็นชาวคริสต์ แต่อยู่ในการปกครองของอาเซอร์ไบจานซึ่งเป็นชาติมุสลิม
ล่าสุด ประธานาธิบดี อิลฮัม อาลีเยฟ แห่งอาเซอร์ไบจาน ประกาศ ว่าพวกเขาจะสู้ต่อไป โดยมีเพียงเงื่อนไขเดียวที่จะหยุดคือ กองทัพอาร์เมเนียต้องถอนกำลังทั้งหมดออกจากพื้นที่พิพาท ภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข
