

- ลั่นเน้นจับกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ ที่รวบรวมสลากฯ มาไว้ในมือเป็นจำนวนมาก เมินกลุ่มรายย่อย
- เผยกลยุทธ์ปีเถาะ ตั้งเป้าเพิ่มสลากดิจิทัล 30 ล้านใบ ปี 67 เป็น 40 ล้านใบ ปี 68 ขยับเป็น 50 ล้านใบ
- ย้ำจากนี้ลุยตัดสิทธิตัวแทนเกเร ไม่ทำตามกฎ ล่าสุดจ่อตัดสิทธิกว่า 1 หมื่นราย
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบันสลากดิจิทัลได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ชอบเสี่ยงโชค ดูได้จากผลการจำหน่ายสลากดิจิทัลในงวดที่ผ่านมา ใช้เวลาจำหน่ายสลากฯ หมดภายในเวลา 10 วัน มีจำนวนผู้ซื้อ 1.8 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นกระแสตอบรับที่ดี โดยยังมองว่าขายหมดเร็วเกินไป
ทั้งนี้ ในปี 2566 สำนักงานสลากฯ ได้ตั้งเป้าหมายวางกลยุทธ์ไว้ว่า ภายในเดือน ธ.ค.66 จะเพิ่มสลากดิจิทัลเป็น 30 ล้านใบ โดยจะค่อยๆ ทยอยขึ้นทีละงวดตามความเหมาะสม โดยดูจากจำนวนผู้ซื้อเป็นหลัด นอดจากนี้ ยังมีในส่วนของแผนงานระยะยาว 3 ปีข้างหน้า โดยวางแผนเพิ่มสลากดิจิทัลให้เป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนสลากฯ ทั้งหมดที่ขณะนี้ยอดพิมพ์อยู่ที่จำนวน 100 ล้านใบ โดยในปี 2567 ตั้งเป้าหมายมีสลากดิจิทัล 40 ล้านใบ และในปี 2568 เพิ่มเป็น50 ล้านใบ
นายลวรณ กล่าวต่อว่า ผลการดำเนินการแก้ปัญหาสลากดิจิทัลในปัจจุบั มีผลที่เห็นได้ชัดขึ้น ดูได้จากจำนวนสายร้องเรียนที่ร้องเรียนข้ามาที่สำนักงานสลากฯ ในเรื่องขายสลากฯ เกินราคาลดลงถึง 80% สะท้อนให้เห็นว่า การขายสลากดิจิทัลสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทำได้จริง

สำหรับในส่วนของสลากดิจิทัลที่จะเข้ามาเพิ่มให้ครบจำนวน 30 ล้านใบนั้น จะมาจาก 4 ทาง ประกอบไปด้วย 1.จากการตัดสิทธิโควตาผู้ค้าที่กระทำผิดกติกา ไม่ว่าตรวจค้นพบว่าขายต่อให้แพลตฟอร์มออนไลน์ และตรวจสอบจาการนำสลากมาขึ้นรางวัล
2.ทางสมัครใจ โดยเมษายน 2566 นี้ สำนักงานสลากได้ออกเกณฑ์ใหม่ โดยจะลดจำนวนสลาก ผู้ค้าซื้อจองได้รับเหลือคนละ 3 เล่มต่องวด แต่หากผู้ค้าซื้อจองรายไหนต้องการสลากเพิ่ม การให้ทางเลือกสมัครจำหน่ายสลากดิจิทัลก็ได้รับสลาก 5 เล่มต่องวด
3.ผลิตภัณฑ์ใหม่ L6 (แอล6) คือสลากที่ไม่ต้องพิมพ์เป็นใบ แต่ขายในรูปแบบออนไลน์ได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
4.จากโควตามูลนิธิ องค์กรการกุศล ที่ให้ผู้ค้ามาเข้าร่วมจำหน่ายสลากดิจิทัลโดยสมัครใจ
นอกจากนี้ ในปี 2566 จะเป็นปีแห่งการปราบปรามและลงโทษผู้ขายสลากเดินราคา 80 บาทอย่างเข้มข้น ซึ่งจะถือเป็นความผิดทางอาญาแผ่นดิน โดยคณะกรรมการได้มีมติการลงโทษกรณีขายสลากเกินราคาว่า จากนี้ไม่ต้องมีผู้แจ้งความ หรือร้องทุกข์กล่าวโทษ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการจับกุม และลงโทษปรับได้เลย โดยมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาทต่อครั้ง
“ขอย้ำว่าการให้ตำรวจสามารถดำเนินการจับกุมได้ ไม่มีการดราม่าที่จะไปรังแก จับกุมคนขายรายย่อย โดยรัฐมีนโยบายชัดเจนที่จะมุ่งจับกุมเน้นไปที่จายสลากฯ เกินราคา 80 บาท ที่เป็นรายใหญ่ โดยเฉพาะผู้รวบรวมสลากไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปขายต่อ ซึ่งเป็นต้นตอทำให้สลากฯ มีราคาแพง” นายลวรณ กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานสลากฯ ขอความร่วมมือจากสื่อทุกแขนงงดโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบที่เป็นการส่งเสริมการซื้อสลากทุกรูปแบบ รวมถึงในเร็วๆ นี้ จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อออกมติให้ผู้ค้าสลากทุกรูปแบบ ห้ามโฆษณาส่งเสริมการขายสลากฯ ผ่านสื่อทุกแพลตฟอร์ม และในระยะถัดไปจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาลออกกฎหมายควบคุมห้ามโฆษณาขายสลากอย่างถาวรอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 สำนักงานสลากฯ ยังมีแผนจริงจังเดินหน้าตัดสิทธิตัวแทนจำหน่ายสบากฯ ที่นำสลากฯ ไปขายต่อ ทั้งในส่วนโควต้า และกดซื้อจองอย่างเข้มข้น เพิ่อนำสิทธิมาเพิ่มในสลากดิจิทัล และโควต้าซื้อ-จอง โดยในเบื้องต้น มีการตัดสิทธิ 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นของสลากจากการตรวจสอบจากกองสลากพลัส 11 ล้านใบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใด และส่วนที่ 2 จากผู้จำหน่ายสลากฯ ที่มาขึ้นเงินรางวัล ซึ่งเบื้องต้นพบมีผู้เข้าข่ายกระทำผิด และจะถูกตัดสิทธิไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ในปี 2565 สำนักงานสากฯ ได้มีการตัดสิทธิผู้กระทำผิดดังกล่าวไปแล้ว 16,000 ราย