ปี 64 สนค.ลุยงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก-เศรษฐกิจใหม่



  • เดินหน้าทำยุทธศาสตร์การค้าฉบับแรกของไทยระยะ 5 ปี
  • เสริมแกร่งเศรษฐกิจภายใน-หนุนวิสาหกิจชุมชนและสังคม
  • พร้อมนำนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาเกษตรกร-ผู้ประกอบการ

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในปี 64  สนค. จะเดินหน้างานสำคัญ 3 ด้าน คือ งานยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่โดยแต่ละงานจะตอบโจทย์นโยบาย 14 ประการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์และปรับแผนงานให้รองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจการค้าไทยในอนาคต สำหรับงานกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการค้านั้น สนค. อยู่ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์การค้าฉบับแรกของไทย ระยะ 5 ปี (ปี 64 – 68) เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าไทย เช่น สงครามการค้า โควิด-19 เทคโนโลยีสมัยใหม่ และประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และประชากร 

“ในชั้นนี้ มีร่างยุทธศาสตร์การค้าฉบับแรกแล้ว แต่จะหารือกับทุกภาคส่วนให้ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ให้มากที่สุดโดยรองนายกฯ ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานดำเนินการหารือ และได้สั่งการให้กำหนดรายละเอียดเป้าหมายด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น การพัฒนาภาคบริการ การเจรจาความตกลงการค้า การจัดทำแผนงานที่หน่วยงานต่างๆ ต้องดำเนินการต่อไป เป็นต้น ซึ่งจะเริ่มกระบวนการหารือในปลายเดือนม.ค. และรายงานต่อคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พณ.) ต่อไป” นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว

ส่วนงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในของไทยนั้น สนค. ได้เริ่มวางฐานด้านการสร้างระบบข้อมูลการค้าขนาดใหญ่ (Trade Intelligence System) เพื่อให้ผู้บริหาร เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ตลอดจนนักวิเคราะห์ ใช้เป็นเครื่องมือกำหนดนโยบายการค้าที่เหมาะสมผ่านแพลทฟอร์ม www.คิดค้า.com ซึ่งปี 64 จะเร่งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภูมิภาคเข้ามาส่วนกลาง และเชื่อมต่อกับข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีระบบข้อมูล Big Data ภาคเกษตร ภายใต้นโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” รวมถึงจะหารือกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม เอสเอ็มอีในต่างจังหวัด เพื่อกำหนดนโยบายสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจและหาต้นแบบพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสมกับการค้าไทย และจะขยายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มซีแอลเอ็มวีที เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทยต่อไป 

ขณะที่ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการนั้นหลังจากปี 63 ได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับโดยใช้บล็อกเชน (blockchain) ภายใต้ชื่อ TraceThai.com นำร่องที่ข้าวอินทรีย์ไปแล้วนั้น ในปีนี้จะขยายไปที่สินค้าเกษตรอินทรีย์อื่นๆ เช่น ผักผลไม้อินทรีย์ สมุนไพรอินทรีย์ โดย สนค. จะร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มจำนวนเกษตรกรรายย่อย สหกรณ์ และวิสาหกิจกลุ่มต่างๆ เข้ามาใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อมโยงกับช่องทางการขาย เพื่อให้ตราTraceThai.com และระบบตรวจสอบย้อนกลับเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค