ปลอดโควิด-19 “DITP”สร้างความมั่นใจส่งออกทูน่ากระป๋องและแปรรูปไทย วางเป้าส่งออกอยู่ที่ 73,838 ล้านบาท



  • พร้อมออกมาตรการคุมเข้มทุกขั้นตอน ภาคเอกชนขานรับพร้อมให้ความร่วมมือ
  • เดินหน้า “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019”
  • เผยทิศทางส่งออกทูน่าไทยในปีนี้ยังคงเติบโตได้

​นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP เปิดเผยว่า ทิศทางการส่งออกทูน่ากระป๋องและแปรรูปในปี 2564 นี้ คาดว่ายังคงเติบโตได้ โดยวางเป้าหมายการส่งออกอยู่ที่ 73,838.33 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งและมีความพร้อมด้านทักษะฝีมือแรงงาน ตลอดจนเทคโนโลยีการผลิตที่ครบวงจรได้มาตรฐานสากลสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้เปรียบด้านของทำเลที่ตั้งในการรับซื้อปลาทูน่าจากทั่วโลก นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีเครือข่ายครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบการผลิต ไปจนถึงช่องทางการกระจายสินค้าในตลาดสำคัญ

“แม้ว่าประเทศไทยจะมีจุดแข็ง และได้เปรียบในแง่ของการส่งออกทูน่ากระป๋อง และแปรรูปจนเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก แต่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ที่ยังคงระบาดอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้า โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้บูรณาการกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการยกระดับกระบวนการผลิต ด้วยการออกมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อการส่งออกอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ผลิต ผู้ส่งออกผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ให้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะดำเนินการควบคู่กับกลยุทธ์ในการส่งออกทูน่ากระป๋องและแปรรูป โดยเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพพร้อมขยายฐานการผลิตไปยังตลาดหลัก เพื่อประโยชน์ทางด้าน ต้นทุนทางภาษีและโลจิสติกส์ รวมถึงลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อขยายตลาด รวมถึงการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปทูน่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”นายสมเด็จ กล่าว

ทั้งนี้สำหรับมาตรการดังกล่าว ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการ และผู้จัดส่งวัตถุดิบ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งวัตถุดิบจากเรือหรือท่าเรือ ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.เพิ่มความเข้มข้นในการลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนมากับวัตถุดิบ Ingredient และภาชนะบรรจุ  

2.โรงงานผู้ผลิตต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตที่เข้มงวด ทั้งคุณภาพและความปลอดภัยในการรับวัตถุดิบจากเรือท่าเรือ การจัดเก็บในห้องเย็น การแปรรูป การบรรจุ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในตู้คอนเทนเนอร์  

3.การควบคุมสุขอนามัยของพนักงานและสิ่งแวดล้อมในโรงงาน ตั้งแต่สถานที่และอาคารผลิต

4.การเคร่งครัดในการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อในอาคารผลิต เครื่องจักร พื้น ผนัง รวมทั้งพื้นที่ผิวจุดเสี่ยงที่มีการสัมผัสร่วมกัน

5.มีมาตรการคัดกรองบุคลากร ก่อนเข้าสถานที่ทำงาน ตลอดจนรอบรมพนักงานให้มีความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นายสมเด็จ กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ทางกรมฯ ยังได้เดินหน้า “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (Thailand Delivers with Safety) โดยคุมเข้มมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั่วโลก และเป็นการตอกย้ำว่าไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตอาหาร และมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การเก็บเกี่ยว การขนส่ง มีระบบป้องกันตนเองของพนักงานในโรงงานการบรรจุ และการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค  

ขณะเดียวกัน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย ในฐานะภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมาตรการ โดยขอความร่วมมือสมาชิกในสมาคมฯ ให้เข้มงวดและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด โดยที่ผ่านมาทางสมาคมฯได้มีการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาควบคู่ไปกับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ในส่วนภาพรวมการส่งออกทูน่ากระป๋อง และแปรรูปในเดือน ม.ค.2564 มีการส่งออกทั้งสิ้น 41,447 ตัน คิดเป็นมูลค่า 4,919.71 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีปริมาณเพิ่มขึ้น 6.59% ด้านมูลค่าเพิ่มขึ้น 6.37% 

ขณะเดียวกันประเทศที่เป็นตลาดหลักและมีการนำเข้าทูน่ากระป๋องและแปรรูปจากไทยมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกาอียิปต์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และแคนาดา รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 64.45% ส่วนตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่อาร์เจนตินา (268.39%) มาเลเซีย (106.41%) อียิปต์ (83.92%) เลบานอน (70.92%) อิสราเอล (67.37%)