“ประยุทธ์” เผย สำรองยาฟาวิพิราเวียไว้แล้ว ไม่ต้องกังวล! สั่งซื้อวัคซีนตามแผนแล้ว 63 ล้านโดส



  • รักษาผู้ติดเชื้อโควิดหายกลับบ้านแล้วมากกว่า 40,000 คน
  • ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลใกล้ชิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในเรื่องของยา ฟาวิพิราเวียร์ ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 โดยยืนยันว่า แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้มีการสำรองไว้แล้วอย่างเพียงพอ โดยยังมีเหลือในสต็อก 1.5 ล้านเม็ด กระจายไปยังทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ และจะได้รับเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดในเดือนนี้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มียาเพียงพอ

อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มมีการระบาดจนถึงขณะนี้ ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสมประมาณ 70,000 คน และรักษาหายกลับบ้านแล้วมากกว่า 40,000 คน ซึ่งเป็นความสามารถของทีมแพทย์ไทย ที่อยู่ในเกณฑ์ระดับโลก เป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ รัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยทุกคนในการรักษาโควิด-19 โดยรัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย และในกรณีโรงพยาบาลเอกชน จะได้รับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 20% ทุกรายการ

ส่วนเรื่องการจัดหาและการฉีดวัคซีน ได้กำหนดให้เรื่องนี้เป็นเป็นมาตรการเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายคือ ภายในสิ้นปีนี้ ประชากรในประเทศไทยต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 70% หรือคิดเป็นประชากร 50 ล้านคน โดยต้องใช้วัคซีนทั้งสิ้น 100 ล้านโดส ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนตามแผนแล้ว 63 ล้านโดส ซึ่งจะเป็นวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่จะผลิตในประเทศไทยและจะเริ่มส่งมอบได้แน่นอนในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อเริ่มทำการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวได้ทันทีจำนวน 16 ล้านคน นอกจากนั้นในเดือนนี้จะได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมจากแผนอีก 3.5 ล้านโดส เพื่อระดมฉีดให้กับบุคลากรด่านหน้าและผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด

และกระทรวงสาธารณสุข ยังเสนอแผนการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม คือวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 5-20 ล้านโดส วัคซีนสปุตนิก วี วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และวัคซีนซิโนแวค บริษัทละ 5-10 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนอื่นที่จะมีการขึ้นทะเบียนในอนาคต

“เรามีแผนการกระจายและฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบ ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีประชาชนมาลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 1 ล้านคน รวมทั้งผ่านทางเครือข่ายโรงพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล และเครือข่าย อสม. ทั่วประเทศ โดยใช้แผนบริการการฉีดวัคซีนตามหลักการสาธารณสุขและการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคม จัดลำดับกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เร่งด่วนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการเพิ่มจุดบริการการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ตั้งเป้าว่าต้องฉีดวัคซีนให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดส”

นอกจากนี้ได้ตั้ง “ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ขึ้น เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้แก้ปัญหาได้อย่างเร่งด่วน โดยผมจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์นี้ และมีหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัดในพื้นที่เป็นกรรมการ และนอกจากนี้การดำเนินการของศูนย์นี้ ยังจะสามารถเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดอื่นๆต่อไปอีกด้วย

ทั้งนี้เพื่อการจัดการสถานการณ์โควิดในภาพรวม จึงได้ตั้ง “คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข” โดยมีรัฐมนตรีว่าการ และช่วยว่าการสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษา และมีเลขาสภาความมั่นคงเป็นประธาน และมีหัวหน้าหน่วยงานด้านสาธารณสุข มหาดไทย และกลาโหม เป็นกรรมการ เพื่อให้เกิดการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานฝ่ายปกครอง ในการบูรณาการทั้งด้านบุคลากรและทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การตรวจคัดกรอง การควบคุมพื้นที่ และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

โดยทั้งสองคณะ และศบค.ทุกชุด จะมี “คณะปรึกษาด้านการสาธารณสุขในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19” คอยให้คำปรึกษา ซึ่งมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน รวมทั้งมีอาจารย์แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่นๆเป็นกรรมการ เพื่อให้ข้อเสนอแนะตามหลักวิชาการสาธารณสุข และสามารถเชื่อมประสานกับโรงพยาบาลต่างๆได้อย่างดี