

- เผยความคืบหน้าการดำเนินงานครึ่งแรก ทำได้ตามแผนงาน
- มีปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากโครงการโอมาน แปลง 61 และโครงการจี 1/61
- พร้อมเร่งดำเนินงานตามแผนเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติของโครงการจี 1/61
- ริเริ่มพัฒนาโครงการ CCS และเดินหน้าแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ รับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
- ลุยสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. กล่าวว่า หลังจากการที่ ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในโครงการจี 1/61 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการติดตั้งแท่นหลุมผลิตไปแล้ว 2 แท่น และจะติดตั้งแท่นที่เหลืออีก 6 แท่น ให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 วางท่อใต้ทะเลทั้งหมด 8 เส้น โดยจะเร่งเจาะหลุมผลิตใหม่เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซฯ ให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต รองรับความต้องการใช้พลังงานและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ สำหรับความคืบหน้าของโครงการในต่างประเทศ ปตท.สผ. ได้เริ่มผลิตน้ำมันดิบจากโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายการผลิตที่อัตรา 13,000 บาร์เรลต่อวัน
สำหรับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำนั้น ปตท.สผ. ได้ริเริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยได้ศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ครั้งแรกของประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนช่วงปลายปี 2566

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย และยังมีความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ในโครงการ CCS Hub Model เพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมในกลุ่ม ปตท. และอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง และล่าสุด ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่ม ปตท. กับภาครัฐและเอกชนรายอื่น ๆ เพื่อจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage หรือ CCUS) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS จากภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยการดำเนินงานทั้งหมดนี้ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม
สำหรับด้านความคืบหน้าตามแผนงานในการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์ “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืนนั้น ปตท.สผ. ได้ร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปล่อย “ทุ่นกระแสสมุทร” หรือ Ocean Current Mapper เพื่อติดตามกระแสน้ำผ่านระบบดาวเทียมและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ การเคลื่อนที่ของขยะทะเล รวมถึงไมโครพลาสติก รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบในการเตือนภัยล่วงหน้าทางทะเล และผลกระทบที่เกิดจากโลกร้อน โดยได้ทำการปล่อยทุ่นกระแสสมุทรทุ่นแรกบริเวณโครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย นับเป็นการปล่อยทุ่นศึกษาการไหลเวียนของกระแสน้ำในทะเลไกลฝั่งครั้งแรกในประเทศไทย และจะมีการปล่อยอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนถึงกลางปี 2566 เพื่อติดตามสุขภาพของมหาสมุทรและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลอนุรักษ์ท้องทะเล
สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2565 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 4,543 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 153,528 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 28% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3,546 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า109,658 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่446,519 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือ 8% จาก 413,168 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากการรับรู้ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของโครงการโอมาน แปลง 61 และปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ ปตท.สผ. เข้าเป็นผู้ดำเนินการโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ ปลาทอง สตูล และฟูนาน) ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกที่ 918 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า31,119 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 598 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า18,673 ล้านบาท) โดยมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) อยู่ที่ 27.72 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 76%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 นั้น ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,469 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 84,955 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 20,600 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับ 318 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ของไตรมาส 1 ปีนี้ โดยเป็นผลมาจากปริมาณการขายของโครงการจี1/61 และราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก
นายมนตรี กล่าวว่า สำหรับการนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี2565 ปตท.สผ. ได้นำรายได้ส่งให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่าง ๆ ประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
รวมถึงอนุมัติจ่ายเงินปันผล 4.25 บาทต่อหุ้น
จากผลประกอบการดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2565 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น(Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 16 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 สิงหาคม2565
“ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแผนงานที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ยังได้หาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่(Beyond E&P) รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงานและความร่วมมือในหลายด้าน เช่น CCS และ CCUS ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว รวมทั้ง ได้เริ่มการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่โครงการเอส 1 กำลังการผลิตประมาณ 10 เมกะวัตต์ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับใช้ในโครงการเอส 1 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตไฟฟ้าได้ในไตรมาส 1 ปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีความคืบหน้าการลงทุนตามแผนงานต่อไป” นายมนตรี กล่าว