ปฏิวัติเมียนมาฉุดส่งออกไทยหายวับเฉียดแสนล้าน



  • มูลค่าลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์มากถึง 50-80% 
  • เหตุผู้คนตกงาน ขาดรายได้ ไม่มีอาหารกินหลายล้านคน 
  • แนะรัฐ-เอกชนปรับกลยุทธ์สู้ศึกก่อนเสียตลาดให้คู่แข่งถาวร 

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษา “ปฏิวัติเมียนมา:กระทบการค้าการลงทุนไทยและอาเซียน” ว่า ศูนย์คาดว่า หากสถานการณ์การประท้วงในเมียนมารุนแรงมากขึ้น มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังมีอยู่ และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของเมียนมาติดลบ 11-20% จะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปเมียนมา หายไป 60,670-96,590 ล้านบาท หรือลดลงถึง 51.6-82.2% ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากปี 63 ที่ส่งออกได้ 117,525 ล้านบาท และจะส่งผลให้มูลค่าส่งออกของไทยโดยรวมในปีนี้ ลดลงได้อีก 0.1-1.3%  

สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม 10 อันดับแรกที่เสี่ยงต่อการส่งออกลดลง ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์, ผ้าผืน, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, ผลิตภัณฑ์ยาง, รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ, เภสัชภัณฑ์, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์เซรามิค ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค 15 อันดับแรกที่เสี่ยงลดลง ได้แก่ เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว, น้ำตาลทราย, อาหารสัตว์, น้ำมันพืช , วิทยุ โทรทัศน์, กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง, รองเท้า, ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูป และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร  

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า จีน มีมูลค่าส่งออกไปเมียนมาลดลงมากที่สุดถึง  177,916-282,764 ล้านบาท ตามด้วยอาเซียน ลดลง 133,063-210,825 ล้านบาท, อินเดีย ลดลง 17,611-27,962 ล้านบาท, ญี่ปุ่น ลดลง 7,252-11,359 ล้านบาท, เกาหลีใต้ ลดลง 5,901-9,129 ล้านบาท , สหรัฐฯ ลดลง 5,337-8,510 ล้านบาท แต่สำหรับอาเซียน มูลค่าส่งออกจากไทยไปเมียนมาลดลงมากที่สุด ตามด้วย สิงคโปร์ ลดลง 36,090-56,635 ล้านบาท, เวียดนาม ลดลง 12,901-20,718 ล้านบาท, อินโดนีเซีย ลดลง 12,510-19,874 ล้านบาท, มาเลเซีย ลดลง 9,641-15,323 ล้านบาท เป็นต้น 

“ถ้าการประท้วงในเมียนมา ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็จะประทบต่อการส่งออกของไทยไปเมียนมากว่า 50% หรือมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท เพราะรายได้ของคนเมียนมาหายไปกว่า 80%แสดงว่าไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอย ไม่มีอาหารกิน 3.4 ล้านคนจากการประเมินขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และในปี 65 ยังประเมินอีกว่า คนเมียนมาจะไม่มีอาหารกินเกินครึ่งของประชากรทั้งหมด หรือ 20 กว่าล้านคน จึงส่งผลให้การค้า การลงทุนลดลงแน่ๆ”  

นอกจากนี้ สินค้าไทยยังส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับสินค้าจากประเทศคู่แข่งอีก แม้สินค้าไทยครองแชมป์มาโดยตลอด แต่สัดส่วนก็ลดลงมาจาก 50% เหลือ 40% โดยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย เริ่มเข้ามามีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น