‘บุณยสิทธิ์’ประธานเครือสหพัฒน์มองโควิด เป็นโอกาสของไทยสู่เวทีโลกหลังรับมือได้ดี



  • ประธานสหกรู๊ปมองวิกฤตโควิด “เซ็ตซีโร่” ทั้งโลก
  • เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสู่เวทีโลกได้เร็ว
  • เพราะเราสามารถคุมการแพร่ระบาดได้ดี
  • ขณะที่ประเทศอื่นกำลังแก้ปัญหากันอยู่
  • ขอความร่วมมือสร้างประเทศกันใหม่ให้ดีขึ้น
  • ชมรัฐบาลประยุทธ์แจกเงินชาวบ้านได้รวดเร็ว
  • หากเป็นสมัยก่อนใช้เวลา 2 ปียังแจกไม่หมด

นายบุณยสิทธิ์  โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย เปิดเผยว่า วิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตนมองว่าเป็นการ “เซ็ตซีโร่” ทั้งโลกให้กลับมาเริ่มต้นใหม่กันหมด จากความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐและยุโรป นั้นต่อไปมองว่าทางฝั่งเอเชียมีโอกาสขึ้นไปเทียบเท่าได้

ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยประเทศไทยจะมีโอกาสมาก เนื่องจากเราสามารถรับมือวิกฤตได้ดีมาก ขณะที่หลายๆ ประเทศยังคงแก้ไขปัญหาอยู่ ถ้าเราอึดอยู่ได้ก็รอดได้และเป็นโอกาสต่อไป สมัยก่อนเขามองว่าเราเป็นประเทศที่ด้อยความสามารถ แต่เราแก้ปัญหาโควิดได้ดี อิมเมจของประเทศสูงขึ้นอีก ดีไม่ดีศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนจะมาอยู่ที่ประเทศไทย  ก่อนโควิดศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์  ถ้าเราร่วมมือกันดีๆ สร้างประเทศให้ดีขึ้นเราสามารถเป็นศูนย์กลางได้

สำหรับประเทศไทยที่เราเป็นฐานการผลิตอาหารที่แข็งแกร่งเรามีศักยภาพไม่แพ้คนอื่น รวมทั้งสินค้าเกษตร และสินค้าที่ผลิตเพื่อใช้ภายในบ้านมีโอกาสเติบโตสูงทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการเป็นแหล่งรองรับการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะการลงทุนในประเทศจีนที่หลายๆ ประเทศเริ่มมองการลงทุนไปที่ประเทศอื่นแทน

“ขอชมรัฐบาลชุดนี้ตั้งแต่การเริ่มเข้ามาทำงานการประกาศรัฐบาล 4.0 เห็นได้ชัดจากการแจกเงินช่วยเหลือประชาชน 5,000 บาท รัฐบาลสามารถแจกเงินให้ประชาชน 10 กว่าล้านคนภายใน 2 เดือนได้ ด้วยการเอาเทคโนโนยีมาช่วย หากเป็นสมัยก่อนใช้เวลา 2 ปียังแจกไม่เสร็จ เผลอๆ เงิน 5,000 บาทอาจจะถืงมือประชาชนเหลือแค่ 500 บาทเท่านั้นสร้างความเชื่อมั่นได้ดี”

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ตัวแปรที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ค่าเงินบาทเป็นลำดับแรก หากค่าเงินบาทถ้าค่าเงินในระดับปัจจุบันอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี  ถ้า 34 บาทต่อดอลลาร์ อาจจะ 2 ปี ถ้าค่าเงินบาท 35-36 อาจจะปีเดียวก็ฟื้นแล้ว สำหรับปัจจัยอื่นๆ คือโควิดจะอยู่กับเราอีกนานเท่าไร นโยบายรัฐบาลและการเมือง ซึ่งหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่อีก  

วิกฤตโควิดกระทบกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเป็น 10 กว่าเท่าเพราะกระทบทั้งธุรกิจและประชาชน รุนแรงมาก ถ้าคุมไม่ดีจะพัง จากประสบการณ์ต้มยำกุ้งทุกคนก็บ่นกันแต่ก็ผ่านพ้นมาได้เพราะด้านล่างไม่กระทบ กระทบแต่ด้านบน แต่โควิดกระทบทั้งหมดทุกภาคส่วน ประสบการณ์เราในช่วงนั้นใช้เวลา 2-3 ปีจะกว่าฟื้นธุรกิจมาได้ 

“เรามีประสบการณ์ผ่านวิกฤตมามากมาย ช่วงต้มยำกุ้งได้เรียนรู้แล้วว่า การกู้เงินมาลงทุนไม่ใช่หาทนทางที่ถูกต้อง เราพยายามใช้เงินทุนของเราขยายกิจการมีมาทำมากมีน้อยทำน้อย ดังนั้นเมื่อเจอปัญหาก็ยังสามารถอยู่ได้เป็นปี”

นายบุณยสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ในปีนี้ภาพรวมของสหกรุ๊ปตัวเลขยอดขายลดลง 10-20% แต่กำไรลดลงกว่า 20% แต่ถือว่ากระทบน้อยกว่าคนอื่น เพราะเราลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายมาก ธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคภายในบ้านยังคงขายได้อยู่เพราะคนไม่ได้ออกไปข้างนอก ซื้อไปใช้ในบ้าน แต่ที่กระทบคือการขายในห้างสรรพสินค้าที่ปิดตัวลงเช่นสินค้าเสื้อผ้า แฟชั่น กระเป๋า รองเท้า

“ธุรกิจปีนี้ทุกรายติดลบแน่ ต่อไปเราจะไม่ควรเอาตัวเลขการเติบโตการขายมาเป็นตัวตั้ง คืดว่าจะสร้างความมั่นคงให้บริษัทอย่างไรมากกว่า” 

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ทางบริษัทพยายามไม่ให้มีการลดพนักงานลง นโยาบายของบริษัทชัดเจน “คนดี สินค้าดี สังคมดี” ถ้าลดพนักงานลงไปสร้างปัญหาให้สังคมเราจะลดไปทำไม