“บิ๊กป้อม” สั่ง สทนช. จัดตั้ง “วอร์รูม”เร่งระดมทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เตรียมพร้อมรับ มือภัยแล้ง

  • สั่งให้เข้าช่วยเหลือประชาชน และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้
  • พร้อมวางแผนแก้ปัญหาน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2562 ที่สำนักงานทรัพยาการน้ำแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติราชการของรัฐบาลและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดยมีนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. ร่วมรับฟังนโยบาย


ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดเผยว่า มีความห่วงใยในสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งจากที่ได้ลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์น้ำที่จังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2562 จึงกำชับให้ สทนช. เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่จากอิทธิพลพายุ “โพดุล” และ “คาจิกิ” โดยขอให้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งวอร์รูมในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยวางแผนระบายน้ำ แจ้งเตือนพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบล่วงหน้า ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและซ่อมแซมอาคารบังคับน้ำที่มีอยู่ให้สามารถใช้การได้ตามปกติตลอดจนใช้อาคารบังคับน้ำที่มีอยู่ บริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น จัดจราจรน้ำ หน่วงน้ำ ผันน้ำเพื่อเลี่ยงพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ชุมชน นอกจากนั้นให้พิจารณาใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ แก้มลิง และพื้นที่เกษตรที่เก็บเกี่ยวแล้วเป็นพื้นที่รับน้ำ หน่วงน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านล่าง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ต้องมีมาตรการการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนและฤดูแล้ง ปี 62/63 ดังต่อไปนี้ 1. ให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สถาบันสารสนเทศน้ำเพื่อการเกษตร (องค์การมหาชน) ตรวจสอบสภาพเขื่อน ฝาย อาคารชลประทาน ฯลฯ ระบบการระบายน้ำ สถานีโทรมาตร เพื่อเฝ้าระวัง มอบกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดทำฝนหลวง เพื่อเร่งเก็บกักน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในฤดูแล้งถัดไป และให้มีการตั้งศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ โดย สทนช. เพื่อบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปีถัดไปด้วย 3. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจแหล่งน้ำที่ผ่านมาในปี 2561 มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์วิกฤติ เพื่อดำเนินการเชิงป้องกันความเสี่ยงอุทกภัย พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำหลาก สำหรับเตรียมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนนี้และแผนการป้องกัน รับมือ และเผชิญเหตุอุทกภัย 4. มอบทุกหน่วยประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำ สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการแจ้งเตือนล่วงหน้าพร้อมแนวทางการปฏิบัติ

5.เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และปรับปรุงแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ ให้แล้วเสร็จโดยด่วน 6. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจแม่น้ำ คูคลอง และดำเนินการขุดลอกผักตบชวา ตลอดจนขยะ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคกีดขวางการระบายน้ำ ในช่วงฤดูน้ำหลาก 7.ให้ปรับแผนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และ ปริมาณน้ำต้นทุน

8.จะมีการสนับสนุนทางการคลัง โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ การเช่าพื้นที่รับน้ำหลาก และการชดเชยกรณีได้รับความเสียหายจากน้ำ

ส่วนแผนระยะยาว มอบหมายให้ สทนช.เร่งแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ (Area Based) ใน 66 พื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งเป็นประจำ โดยเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหา แผนงานโครงการสำคัญในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการต่อไป ส่วนการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ไปสู่แผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนการปฏิบัติในระดับลุ่มน้ำ

โดยขอให้ สทนช. เร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนการปฏิบัติในระดับลุ่มน้ำให้แล้วเสร็จ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง ส่วนการติดตามและประเมินผลแผนงาน โครงการ และงบประมาณในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจากหน่วยงานปฏิบัติด้านน้ำทั้งจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 40 หน่วยงาน มอบให้ สทนช. เน้นการจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการที่พร้อมสามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป