

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินโครงการคนละครึ่งเป็นอย่างมาก โดยได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งประชาชนและร้านค้า สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน มีเงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้าหาบเร่ แผงลอย รถเข็น ต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันก็มีความสะดวก
ทั้งนี้ความคืบหน้าล่าสุด ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 6 พ.ย. 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5.23 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7.1 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 7,629 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 3,888 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 3,741 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 216 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ
นอกจากนี้ทางกระทรวงการคลังจะเปิดให้มีการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบสอง ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในวันพุธที่ 11 พ.ย. 2563 ในช่วงเวลา 06:00-23:00 น และในส่วนของการเพิ่มจำนวนร้านค้า ทางพล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการในที่ประชุมครม.ไปก่อนหน้านี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง ร่วมกันอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย เพราะมีจำนวนมากที่สนใจร่วมโครงการฯ แต่มีความกังวลเรื่องการทำธุรกรรมผ่านมือถือและวิธีการลงทะเบียน
ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ และอำนวยความสะดวกในเรื่องการรับรองว่าเป็นร้านค้าจริง ตั้งเป้าอยากให้มี 1 ล้านร้านค้า จะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ที่ผ่านมาจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก จาก 300,000 ร้าน ในช่วงปลายเดือน ต.ค. เพิ่มเป็น 523,000 แสนร้านแล้ว และในจำนวนนี้เป็นหาบเร่แผงลอย มากว่า 70,000 ราย
“สิ่งที่นายกรัฐมนตรีมีความกังวลคือ การฉวยโอกาสจากโครงการฯ เช่น การคิดราคาสินค้าที่สูงขึ้นหรือการทำธุรกรรมที่ไม่มีการซื้อขายจริง รัฐบาลจึงขอความร่วมมือจากประชาชนและร้านค้า ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ อย่าให้มีการดำเนินการไปในทางมิชอบ ไม่ทำลายบรรยากาศของการดำเนินโครงการคนละครึ่ง ซึ่งรัฐบาลตั้งใจจริงให้โครงการนี้ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย โดยใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส ในส่วนของธนาคารกรุงไทย ได้วางระบบการป้องกันการทุจริตในกิจกรรมที่เกี่ยวกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ไว้แล้ว และจะมีการระงับการใช้แอปพลิเคชัน ตลอดจนการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที หากพบการใช้จ่ายผิดเงื่อนไข และอาจมีการดำเนินการตามกฎหมาย ตามความผิดฐานฉ้อโกงอีกด้วย” น.ส.รัชดา กล่าว