

- ชมเป็นนวัตกรรมจากคนไทย ที่สามารถผลิตขึ้นใช้ได้เองในประเทศไทย
- พร้อมชื่นชมองค์การเภสัชฯ พัฒนาวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ซึ่งผ่านการทดลองในมนุษย์เฟส 1 และเฟส 2 แล้ว
- เผยความคืบหน้า วัคซีนโควิด-19 “Chula Cov19” พบมีประสิทธิภาพกระตุ้นภูมิได้ดีเทียบเท่า “ไฟเซอร์-โมเดอร์นา”
- ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตในโรงงานไทย เพื่อรอทดลองในคนระยะ 3 คาดขึ้นทะเบียนกับ อย.ได้สิ้นปีนี้
วันนี้ (17 มิ.ย.65) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชื่นชมความร่วมมือของ 5 หน่วยงาน คือ องค์การเภสัชกรรม, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศิลปากร, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ บริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด ที่ได้ร่วมมือพัฒนานวัตกรรม “สเปรย์แอนติบอดีพ่นจมูกที่มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อโควิด-19” ซึ่งเป็นอีกนวัตกรรมจากคนไทยสามารถผลิตขึ้นใช้ได้เองในประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ ที่มีมาตรฐานยอมรับในระดับสากล
“สำหรับสเปรย์แอนติบอดีพ่นจมูกที่มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อโควิด-19 คาดว่าจะสามารถผลิตออกสู่ตลาดเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงนวัตกรรมสุขภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ใน ไตรมาสที่ 3 ของปี 65 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19” น.ส.รัชดา กล่าว
น.ส.รัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมองค์การเภสัชกรรม ที่ได้พัฒนาวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ฝีมือคนไทย ซึ่งผ่านการทดลองในมนุษย์เฟส 1 และเฟส 2 แล้ว จากผลการพัฒนาสูตรวัคซีน HXP-GPOVac สามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยมีแผนจะนำวัคซีนตัวดังกล่าว กลับไปทำการทดลองเฟส 2 อีกครั้งในช่วงเดือน ส.ค.65 โดยเมื่อสำเร็จได้ผลดีจะดำเนินการทดลองในเฟส 3 ต่อไป คาดว่าจะเริ่มฉีดให้ประชาชนได้ช่วงกลางปี 66
นอกจากนี้ ในส่วนของความคืบหน้า วัคซีนโควิด-19 “Chula Cov19” พัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ผลการทดสอบพบว่า มีประสิทธิภาพสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีเทียบเท่ากับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตวัคซีนในโรงงานไทย เพื่อรอทดลองในคนระยะ 3 และคาดว่าจะสามารถขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินให้ได้ภายในสิ้นปีนี้
“ท่านนายกรัฐมนตรีระบุความสำเร็จดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงในระบบสุขภาพของประเทศ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าไทยกำลังจะเปลี่ยนผ่านให้เป็นโรคประจำถิ่น การพัฒนาวัคซีนใช้เองในประเทศยังเป็นเรื่องจำเป็น นับเป็นความภาคภูมิใจของไทยเป็นอย่างมาก ที่การวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้า คู่ขนานไปกับการพัฒนาระบบสาธารณสุข ซึ่งทั่วโลกต่างชื่นชม จัดให้เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ ติดอันดับ ท็อปเท็นของโลก อันดับที่ 1 ในเอเชีย” น.ส.รัชดา กล่าว