“บัตรคนจน” ใช้เงินโครงการ “เราชนะ” ได้ง่ายๆ ไม่ต้องกังวล



  • แค่นำบัตรไปแสกนแอป”ถุงเงิน” ของร้านค้า
  • การจ่ายค่าเช่าบ้าน ขอดูรายละเอียดอีกครั้ง
  • แจงไม่แจกเงินสดเพราะหวั่นเงินไหลไปโมเดิร์นเทรด

นางสาวกุลยา ตันติเต ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ที่ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” นั้น วิธีการใช้เงินผ่านโครงการนี้ สามารถนำบัตรคนจนที่มีอยู่ไปให้ร้านค้าและบริการต่างๆ ที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แสกนหน้าบัตรซึ่งมีบัตรหน้าของผู้ลงทะเบียนบัตรคนจนไว้เพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าได้เลย ซึ่งระบบนี้มีมานานแล้วในแอปฯ ถุงเงินของธนาคารกรุงไทย ดังนั้นผู้ที่ถือบัตรคนจนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือไม่ต้องกังวลใจว่าจะใช้ซื้อของในร้านค้าที่ร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” จำนวน 1.1 ล้านร้านค้าไม่ได้

อย่างไรก็ตามวงเงินในบัตรคนจนนั้น เมื่อรัฐโอนให้เพิ่มเติมแล้วตามวันที่ระบุไว้ ผู้ที่ถือบัตรจะไม่สามารถกดเป็นเงินสด และไม่สามารถโอนไปยังธนาคารอื่นเพื่อกดเป็นเงินสดได้ โดยสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรในร้านค้าและบริการ ที่รัฐกำหนดไว้เท่านั้น

ส่วนในเรื่องการจ่ายค่าเช่าบ้านนั้น ขอไปดูรายละเอียดอีกทีว่าจะออกมาในรูปแบบไหนเพราะไม่ถือว่าอยู่ในบริการที่รัฐกำหนดไว้ แต่ในเบื้องต้นการเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” จะเป็นการช่วยบรรเทาค่าครองชีพต่างๆ ในชีวิตประจำวันและลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่ารถโดยสาร เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนเหลือเงินในกระเป๋าที่ยังไม่ได้จ่ายออกไปเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงอาจจะทำให้ประชาชนมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านเพิ่มขึ้นด้วย

ขณะที่โครงการ “เราชนะ” ครั้งนี้ ให้ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน แทนการให้เงินสดนั้น เนื่องจากอยากให้เม็ดเงินลงถึงผู้ประกอบการรายย่อยอย่างแท้จริง เนื่องจากโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่เยียวยาโควิดรอบแรกในปี 2563 ที่ผ่านมา โดยการแจกเงิน 5,000 บาท จำนวน 6 เดือน (เม.ย.-ก.ย.) รวมวงเงิน 30,000 บาท ซึ่งการที่จ่ายออกไปเป็นเงินสดนั้น ต้องยอมรับว่ามีเม็ดเงินไหลไปยังโมเดิร์นเทรดต่างๆ ด้วย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ที่ได้รับเงินจับจ่ายใช้สอยสะดวกสบาย แต่โครงการ “เราชนะ” ในครั้งนี้ต้องการช่วยคนระดับฐานรากจริงๆ ให้มีรายได้มากขึ้น ป้องกันเงินไหลไปยังห้างร้านโมเดิร์นเทรดใหญ่ๆ

นอกจากนี้โครงการ “เราชนะ” แตกต่างกับ “เราไม่ทิ้งกัน” เพราะมีการช่วยเหลือทุกคนทุกกลุ่ม ก่อนจะตัดผู้ที่รายได้สูงไป ซึ่งทุกอย่างอยู่บนฐานรายได้ที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ คือ มีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาททุกบัญชี และมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีคนที่ได้รับเงินจากโครงการนี้จำนวน 31 ล้านคน

ขณะที่โครงการ “เราไม่ทิ้ง” เริ่มช่วยเหลือทีละกลุ่ม เริ่มจากกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตามมาด้วย เกษตรกร กลุ่มถือบัตรคนจน คนชายขอบ ซึ่งเป็นการทยอยช่วยเหลือซึ่งทำให้เกิดปัญหาจำนวนมาก ถึงแม้ยอดการช่วยเหลือจะมีความใกล้เคียงกันกับโครงการ “เราชนะ” ประมาณ 40 ล้านคน แต่โครงการนี้จะครอบคลุมประชาชนมากกว่าและมีวิธีการที่ยุ่งยากน้อยกว่า