บอร์ดบีโอไออนุมัติส่งเสริมลงทุน 5 โครงการขนาดใหญ่ กว่า 4 หมื่นล้านบาท



  • ยันวิ่งสู้ฟัดกับสถานการณ์โควิด-19
  • ดึงนักลงทุนย้ายฐานจากจีน
  • เห็นชอบส่งเสริมการลงทุนตามหลัก BCG

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบปรับสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรตามแนวคิด BCG ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อนำความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมเกษตร

ประกอบด้วย 1.เพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกที่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชทั้งทางกายภาพ เช่น การควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุต่าง ๆ และการควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ำ อากาศ และผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เกษตรที่ได้ต้องมีคุณภาพ ความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออกได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี

2.ปรับปรุงขอบข่าย เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ของบางประเภทกิจการ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้มีความยืดหยุ่นในการให้การส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ และเก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มาจากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร กิจการผลิตอาหารสัตว์ ส่วนผสมอาหารสัตว์ โดยกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกิจการ รวมทั้งมีการรักษาสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติส่งเสริมลงทุน 5 โครงการขนาดใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า โรงไฟฟ้า เม็ดพลาสติกรีไซเคิล และหอประชุมขนาดใหญ่ รวมมูลค่าลงทุน 41,834 ล้านบาท ได้แก่ 1.กลุ่มบริษัท สามมิตร เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท ในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ปีละประมาณ 30,000 คัน ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นมูลค่าปีละประมาณ 8,500 ล้านบาท โดยจะจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ 2.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนรวม 24,113 ล้านบาท ในกิจการผลิตไฟฟ้าจากกากน้ำมัน 250 เมกะวัตต์ และกรดกำมะถัน ปีละประมาณ 80,300 ตัน

3.บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด กิจการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด PET (FOOD GRADE) สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด HDPE สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์สิ่งประทินร่างกายและสินค้าอุปโภคในครัวเรือน มูลค่าเงินลงทุน 2,476 ล้านบาท 4.บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 จำกัด เงินลงทุน 6,000 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและไอน้ำ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 157 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 75 ตัน/ชั่วโมง เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโรงงานอุตสาหกรรม 5.บริษัท บางกอก อารีน่า จำกัด เงินลงทุน 3,745 ล้านบาท ในกิจการหอประชุมขนาดใหญ่ เพื่อช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ตั้งโครงการที่อาคารบางกอก มอลล์ ถนนบางนา-ตราด กรุงเทพมหานคร

“ในปีนี้บีโอไอไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนเนื่องจากเป็นปีที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่จะพยายามรักษาการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเอาไว้ให้ได้ และทำให้ดีที่สุด โดยหลายโครงการก็ยังเดินหน้าตามแผน แม้จะชะงักไปบ้างในช่วงที่มีล็อกดาวน์กิจกรรมต่างๆ แต่เมื่อมีการคลายล็อคหลายโครงการก็กลับมาเดินหน้าเหมือนเดิม สำหรับกลุ่มนักลงทุนเป้าหมายยังคงเป็นจีนและญีปุ่น โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่จะมีการย้ายฐานลงทุนออกจากจีนจำนวนมาก”