

- 6 เสียง เห็นชอบรับรองผล “วงษ์สยามก่อสร้าง” ชนะการประมูล
- 2 เสียง ให้รอคำตัดสินของศาลปกครอง
- “วงษ์สยาม” ให้ผลประโยชน์ตอบแทน 25,693 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เพื่อพิจารณาทบทวนมติ เรื่อง การพิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการผลการคัดเลือกเอกชน โครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ว่า วันนี้ (14 มี.ค.) มีคณะกรรมการที่ราชพัสดุเข้าร่วมประชุม9 คน จากคณะกรรมทั้งหมด 12 คน โดยคณะกรรมการ 6 คนมีมติเห็นชอบรับรองผลการประมูลโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ครั้งที่ 2 ซึ่ง บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล
ขณะที่คณะกรรมการอีก 2 คนให้รอผลคำตัดสินของศาลปกครอง และอีก 1 คนงดออกเสียง ส่วนคณะกรรมการอีก 3 คนที่ไม่เข้าร่วมประชุม มี 1 คนที่ถือหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทที่เข้าร่วมประมูล จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงขอไม่เข้าร่วมประชุม ขณะที่คณะกรรมการอีก 1 คนอยู่ต่างประเทศ และอีก 1 คน ติดภาระไม่สามารถมาเข้าร่วมประชุมได้ ทั้งนี้คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาระหว่างกรมธนารักษ์และผู้ชนะ คือ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ภายใน 3-4 เดือนหลังจากนี้

“กรมธนารักษ์ได้ยืนยันตามที่คณะกรรมการได้ถามย้ำถึงการดำเนินการว่าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ราชพัสดุ 100% หรือไม่ กรรมการจึงได้ลงมติ และผลออกมาคือเสียงส่วนใหญ่ 6 เสียงเห็นชอบรับรองผลการประมูลครั้งที่2 ส่วนกรณีที่ผู้ไม่ชนะการประมูลไปยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ก็ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้แต่ทางคณะกรรมการก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและรายได้ของรัฐเป็นหลัก และน้ำก็เป็นเหมือนลมหายใจของภาคตะวันตก จะหยุดส่งน้ำไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะจะกระทบความเสียหายมหาศาล ดังนั้นจึงต้องเปิดประมูลเพื่อหาผู้ดำเนินการต่อก่อนครบอายุสัมปทานเดิม 2 ปี” นายสันติ กล่าว
นายสันติ กล่าวว่า ก่อนการลงมติ ฝ่ายเลขา หรือ กรมธนารักษ์ ได้อธิบายในประเด็นต่างๆ ทั้งผลการดำเนินการในช่วง30 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) หรือ อีสท์วอเตอร์ เป็นผู้ได้รับสัมปทาน ซึ่งรัฐได้รับผลประโยชน์จากปี 2537 ถึงปัจจุบันปี 2565 อยู่ที่ 552 ล้านบาท และจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2566
ซึ่งกฎหมายได้กำหนดให้กรมธนารักษ์สามารถเปิดประมูลได้ก่อนสิ้นสุดอายุสัมปทาน 2 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินโครงการ ซึ่งในการเปิดประมูลครั้งที่ 1 พบว่า TOR ไม่สมบูรณ์ จนไม่สามารถตัดสินอะไรได้ จึงต้องยกเลิกผลประมูล และต่อมาได้เปิดประมูลครั้งที่ 2 ซึ่งผู้ชนะในครั้งแรก ก็ได้เข้าประมูลด้วย แต่ผลชนะไปอยู่ที่ บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุด เป็นเงิน 25,693 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา30 ปี หรือ คิดเป็น 27% ของค่าน้ำที่บริษัทผู้ถือสัมปทานขายให้เอกชน ที่ 10.98 บาทต่อหน่วย ซึ่งได้สูงกว่าผู้ชนะอันดับ 2 คือ อีสวอเตอร์ ที่ให้ผลตอบแทนภาครัฐ ที่ 24,212ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี
นายสันติ กล่าวอีกว่า อัตราค่าน้ำที่กำหนด ที่ไม่เกิน 10.98 บาทต่อหน่วย และปริมาณน้ำต่อปีที่ 140 ล้านลูกบากศ์เมตรต่อปี เป็นตัวเลขที่ใช้กับทุกบริษัท ซึ่งทุกบริษัทจะเห็นตัวเลขเดียวกัน และเป็นการแข่งขันที่เปิดเผย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องพิจารณาผลประโยชน์ของรัฐที่จะต้องได้รับ ซึ่ง วงษ์สยามก่อสร้าง ได้ให้ผลตอบแทบรัฐสูงสุดที่ 27% ของราคาค่าน้ำที่ขายในราคา 10.98 บาทต่อหน่วย
“ช่วงเช้าก่อนการประชุม ทางอีสวอเตอร์ ได้ยื่นหนังสือ ที่ตั้งข้อสังเกตุ และขอความเป็นธรรมจากการยกเลิกผลการประมูลครั้งที่ 1 ซึ่งหนังสือดังกล่าว ได้มีการนำไปเปิดขึ้นจอภาพให้คณะกรรมการและผู้เข้าร่วมประชุมได้พิจารณาไปพร้อมกัน โดนยืนยันว่าทุกอย่างมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ” นายสันติ กล่าว