บสย.เปิด 4 แนวทาง ปี 65 ดึงเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน ขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัล



  • สร้างนวัตกรรมค้ำประกันสินเชื่อ ผ่าน “ไฮบริด การันตี”
  • เพิ่มโอกาสเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
  • จ่อเพิ่มบทบาทการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปี 65 บสย. เตรียมยกระดับองค์กรเพื่อก้าวสู่ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ภายใต้แนวคิด “TCG Fast & First” พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของ บสย. เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภายใต้กลยุทธ์ 3 N ได้แก่

1.นิว เอนเกจ (New Engine) พัฒนาผลิตภัณฑ์ ค้ำประกันสินเชื่อเจาะเฉพาะกลุ่ ระหว่างผลิตภัณฑ์ค้ำประกันเชิงพาณิชย์ของ บสย.และผลิตภัณฑ์ค้ำประกันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (PGS 9) และการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแบบเฉพาะกลุ่ม

2.นิว คัลเจอร์ (New Culture) ก้าวสู่วัฒนธรรมองค์กรใหม่ บสย. “TCG Fast & First” เป็นที่หนึ่งในใจเอสเอ็มอี

3.นิว บิสซิเนส โมเดล (New Business Model) พัฒนาดิจิทัล แพลตฟอร์มของบสย. เชื่อมโยงธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทุกแพลตฟอร์ม

ส่วนแผนดำเนินงานปี 2565 มี 4 แนวทางคือ 1.สร้างสรรค์นวัตกรรมค้ำประกันสินเชื่อ ในรูปแบบ ไฮบริด การันตี “Hybrid Guarantee”ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกการเงิน พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยกลุ่มฐานราก กลุ่มอาชีพอิสระ และ กลุ่มผู้ค้าออนไลน์

2.เพิ่มสัดส่วนคุ้มครองความเสี่ยงให้สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 9

3.จัดทำโครงการพิเศษ ในโอกาส บสย.ครบรอบ 30 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 3 ปี และ อัตราความคุ้มครอง ร้อยละ 30 สำหรับลูกค้าค้ำประกันสินเชื่อ ลดต้นทุนธุรกิจช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

4.ขยายบทบาท 2 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีเอสเอ็มอี เพิ่มศักยภาพทางการเงิน และลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ด้านที่ 2 คือ เพิ่มบทบาทการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงินเอสเอ็มอี หรือ บสย. F.A. Center

นายสิทธิกร กล่าวถึงผลประกอบการปี 2564 ว่า บสย. สร้างสถิติค้ำประกันสูงสุดในรอบ 29 ปี วงเงิน 245,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เทียบกับปี 2563 สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 226,312 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ก่อให้เกิดสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่า 261,545 ล้านบาท หรือ 1.06 เท่าของยอดการค้ำประกัน และเกิดการจ้างงานใหม่ มากกว่า 400,000 ตำแหน่งรักษาการจ้างงาน มากกว่า 2,000,000 ตำแหน่ง