

วันที่ 5 มกราคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ดังนี้
1.ให้กระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมและแผนการดำเนินงานทั้งในด้านบุคลากร ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ กรณีมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด – 19 เกินขีดความสามารถในการรองรับของกระทรวงสาธารณสุข (Worst Case)
2.ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดทำมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่
3.ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระดับพื้นที่ สถานที่และกิจกรรม รวมถึงให้เพิ่มการปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกและคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการค้นหากลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อในพื้นที่ และการสุ่มตรวจหาเชื้อในแรงงานต่างด้าว
4.ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงการดำเนินการของจังหวัดในการควบคุมป้องกันโรคโควิด – 19 เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สกัดกั้นป้องกันข่าวลวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็วทันการณ์
5.ให้กระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัคซีน รวมทั้งให้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ดำเนินการรวบรวมจัดทำชุดข้อมูลสรุปประเด็นข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับวัคซีนเพื่อประกอบการวางแผนบริหารจัดการ เช่น จำนวนชนิดของวัคซีนที่ฉีดในมนุษย์และในประเทศใดบ้าง จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีน วัคซีนที่ได้รับการจดทะเบียนเพื่อใช้ในการรักษาแล้ว รายงานประสิทธิผลและความปลอดภัยของแต่ละชนิด รายงานอาการแพ้หลังจากได้รับการฉีดวัคซีน แนวทางการบริหารจัดการ (การจัดหา การนำเข้า ขั้นตอนการกระจายวัคซีน) ราคา และกำหนดเวลาที่จะได้รับวัคซีน การกระจายวัคซีนให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น
6.ให้กระทรวงสาธารณสุข และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริงและข้อมูลที่ถูกต้อง ได้แก่ ความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีเพียงพอต่อการกระจายไปถึงโรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่าง ๆ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรคโควิด – 19 สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลประวัติการเดินทางในการสอบสวนโรค (TimeLine) และแจ้งให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ทราบว่าสามารถไปตรวจคัดกรองได้ ณ สถานที่ใดบ้าง รวมถึงให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ และจำนวนผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายด้วย รวมทั้งแจ้งความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย
7.ให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จัดให้มีหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์ ให้มีปริมาณที่เพียงพอไม่ขาดแคลนและมีราคาที่เหมาะสม โดยให้ กระทรวงพาณิชย์ กำชับโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการและแนวทางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และ และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 ประชาสัมพันธ์รณรงค์การใช้หน้ากากผ้าสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอาการป่วย และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้ากาก N95 ที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ป้องกันเชื้อโควิด – 19 ได้เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์
8.ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาและประเมินความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในสนามกีฬาและสนามมวย
9.ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านความมั่นคง และหน่วยงานความมั่นคง ดำเนินการกวดขันและเฝ้าระวังตามพื้นที่ชายแดนทั้งประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย รวมถึงดำเนินคดีต่อผู้ลักลอบเล่นการพนันและการมั่วสุมอันก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดฯ