

- เหตุภาวะเศรษฐกิจจะเหมาะสม
- “สรรพากร” ย้ำไม่กระทบการจัดเก็บรายได้
- เพราะจัดเก็บภาษีอีเซอร์วิสได้เพิ่ม
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่เหมาะสมที่จัดเก็บภาษี จากเดิมมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีหุ้นในเร็วๆนี้ หลังจากที่ยกเว้นการจัดเก็บภาษีหุ้นมาเป็นเวลา 30 ปี
“การยกเว้นการจัดเก็บภาษีช่วงนั้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น ที่มูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 700,000 -800,000 ล้านบาท แต่วันนี้มูลค่าตลาดสูงถึง 16 ล้านล้านบาท หรือเท่าๆกับขนาดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ”
ด้านนางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า หากมีการเลื่อนการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นออกไป จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2565 เนื่องจากกรมสรรพากร ยังไม่ได้นำรายได้ส่วนนี้มารวมในการคาดการณ์รายได้ปีงบประมาณนี้ ซึ่งมีเพียงรายได้จากภาษีอีเซอร์วิสเท่านั้น จากเดิมคาดว่าจะมีรายได้จากภาษีอีเซอร์วิส ใน 5,000 ล้านบาท ขณะนี้จัดเก็บได้เพิ่ม 8,000-10,000 ล้านบาท เนื่องจากมีผู้ประกอบการมาจดทะเบียนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 123 ราย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมสรรพากร ได้เคยศึกษาว่า หากต้องจัดเก็บภาษีการขายหุ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 0.11 % ของยอดขาย จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อนักลงทุนในตลาด พบว่า นักลงราว 80 % จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะมูลค่าการขายต่อเดือนไม่เกิน 1 ล้านบาท
สำหรับอัตราการจัดเก็บนั้น ถูกกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรอยู่แล้วที่ 0.1% ของการขาย บวกกับภาษีท้องถิ่นอีก 10 % รวมเป็น 0.11% แต่ภาษีนี้ได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปีแล้ว ซึ่งกรมสรรพากรมองว่า อัตราที่จัดเก็บดังกล่าวเป็นอัตราที่ต่ำโดยคิดเฉพาะส่วนเกินของวงเงินที่ได้รับการยกเว้น เช่น หากวงเงินการขายเกินมา 1,000 บาท จะเสียภาษีเพียง 1 บาทเศษ ถ้าวงเงินการขายเกินมา 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาท เท่านั้น ดังนั้น จึงถือว่า เป็นภาระภาษีไม่ได้มาก โดยเฉพาะภาระที่เกิดกับนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง