

- พร้อมเร่งจัดกลุ่มช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้-เติมเงิน
- คาดปี 63 ต่ำเป้าเพราะเฉือนเนื้อช่วยโควิด
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้วางแนวทางดูแลเกษตรกรที่จะครบกำหนดมาตรการพักชำระหนี้จากโควิดในปีงบ 64 (ตั้งแต่ 1 เม.ย.64 -31 มี.ค.65) กว่า 2 ล้านราย มูลหนี้กว่า 900,000 ล้านบาท โดยให้พนักงานสาขาลงไปพบปะลูกค้าเพื่อตรวจสุขภาพหนี้และประเมินศักยภาพการชำระหนี้ หากพบว่ายังมีศักยภาพจะแนะนำให้ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น หรือชำระหนี้ให้สอดคล้องกับที่มาของรายได้ แต่กรณีลูกค้าไม่มีศักยภาพจะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูอาชีพให้กับลูกค้ามีรายได้หรือเพิ่มเติมทุนให้
“ที่ผ่านมาธนาคารได้ทยอยสำรวจสุขภาพลูกหนี้ไปแล้ว 520,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มีการปลูกข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โดยจะเข้าไปประเมินดูรายได้ กระแสเงิน ราคาผลผลิตในปีนั้น จากนั้นจะแบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มสีเขียวที่มีศักยภาพดี ซึ่งมีประมาณ 35-40% ก็จะให้กลับมาชำระหนี้ตามปกติ ส่วนกลุ่มสีเหลืองที่มีอุปสรรค หรือชำระได้บางส่วนซึ่งมี 40-45% ก็จะขยายเวลาชำระหนี้ให้เหมาะกับรายได้ ที่เหลือกลุ่มสีแดงที่ไม่สามารถชำระได้ ก็จะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ควบคู่กับหาแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป โดยธนาคารมั่นใจว่าจะดูแลลูกค้าได้และไม่ทำให้หนี้เสียของธนาคารสูงเกินไป โดยปีงบ 63 เอ็นพีแอลจะอยู่ที่ 4% และปี 64 จะเพิ่มไปอยู่ที่ 4.23%”
สำหรับผลการดำเนินงานธ.ก.ส.ในปีบัญชี 63 ซึ่งครบปีวันที่ 31 มี.ค.64 จะมีสินทรัพย์ 2.03 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.10% เงินให้สินเชื่อ 1.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.90% เงินรับฝาก 1.73 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.41% โดยมีรายได้ 103,171 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 95,987 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,184 ล้านบาท สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผลดำเนินการลดลงกว่าเป้าหมายบ้าง เนื่องจากธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น การพักหนี้ทั้งระบบ 3.25 ล้านราย วงเงิน 1.07 ล้านล้านบาท การเติมวงเงินสินเชื่อฉุกเฉิน 20,000 ล้านบาท สินเชื่อนิว เจน ฮัก บ้านเกิด สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สินเชื่อเพื่อฤดูการผลิตใหม่ 170,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดภาระ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องดอกเบี้ย โดยสามารถคืนเงินเข้าสู่กระเป๋าเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านราย วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท อีกทั้งในช่วงเกิดโควิด ทำให้เกษตรกร หรือวิสาหกิจชุมชนมีการชะลอขอสินเชื่อใหม่ด้วย ส่วนยอดเงินฝากที่เพิ่มขึ้นมามาก เนื่องจากลูกค้าบางส่วนที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐไปแล้ว ไม่ได้ถอนเงินออกไปใช้ แต่มีการเก็บออมผ่านการฝากเงิน หรือออมรูปแบบสลากออมทรัพย์แทน
อย่างไรก็ตาม ในปีบัญชี 64 วันที่ 1 เม.ย.64 -31 มี.ค.65 ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 69,000 ล้านบาท เงินฝากเติบโต 25,000 ล้านบาท กำไรจะอยู่ระดับ 7,000 ล้านบาท โดยการปล่อยกู้จะปล่อยสินค้าเกษตรทุกประเภท รวมถึงการปลูกกัญชาหากได้รับอนุญาตและมีหลักเกณฑ์การปลูกในเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน ธนาคารก็พร้อมปล่อยสินเชื่อให้เพราะถือเป็นสินค้าเกษตรชนิดหนึ่ง นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยีทางการเงินใหม่มาใช้ เช่น การปล่อยสินเชื่อผ่านระบบดิจิทัล การนำระบบเทคโนโลยีมาวิเคราะห์ช่วยเหลือลูกค้า การหาช่องทางตลาดใหม่ให้เกษตรกร ตลอดจนพัฒนาชนบทผ่านโครงการสังคมอุดมสุข ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้เพิ่มจาก 77 แห่ง เป็น 300 แห่ง