

- ให้ บขส.เร่งทำข้อมูลรถเสร็จใน 1 เดือน เพื่อเร่งลงทุน
- มั่นใจตอกเสาเข็มทำได้ปีนี้แน่นอน
นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต หรือหมอชิตคอมเพล็กซ์ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมการขนส่งทางบก และบริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) โดยที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันที่จะให้กรุงเทพมหานคร ยกเลิกการออกพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.)เวนคืนที่ดินบริเวณพื้นที่โดยรอบในการสร้างทางยกระดับเข้าออกจากโครงการฯ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้หลังจากนี้ทาง บขส.ต้องไปเร่งสำรวจว่าควรมีรถประเภทใด จำนวนเท่าไร ที่จะเข้ามาใช้ในพื้นที่พื้นที่หมอชิตคอมเพล็กซ์ ได้อย่างเหมาะสมโดยไม่กระทบต้องเวนคืนที่ดิน เพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลให้ กทม.ไปใช้ประกอบการเสนอขอ ถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน บริเวณซอยวิภาวดีรังสิต 5 ด้านหลังสถานีขนส่งหมอชิต (เก่า) รวมถึงให้นำข้อมูลเสนอไป สนข.เพื่อพิจารณาจัดระเบียบจราจรในพื้นที่ใหม่ และยังเสนอให้บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (บีเคที) ผู้ได้สิทธิพัฒนาหมอชิตคอมเพล็กซ์ ได้รับทราบและนำไปใช้ปรับปรุงแบบการใช้พื้นที่บางส่วนต่อไปได้
“ตามขั้นตอนการขอถอนพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน จะต้องมีการจัดทำข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลประกอบขอการยกเลิก ดังนั้นที่ประชุมจึงให้ บขส.ไปเร่งสำรวจข้อมูลปริมาณรถที่จะนำเข้ามาใช้พื้นที่โดยไม่ต้องเวนคืนให้เสร็จภายใน 1 เดือน และนำกลับมาเสนอให้ที่ประชุมใหม่อีกครั้งในเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างภาคเอกชน กทม. กรมการขนส่งทางบก บขส. เพื่อหาข้อมูล และนำส่งให้ กทม.ไปใช้ประกอบการยกเลิกเวนคืนที่ดินต่อไป”
นายยุทธนา กล่าวว่า ความคืบหน้าการดำเนินโครงการหมอชิตคอมเพล็กซ์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด ได้ยื่นศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ในโครงการโดยไม่ต้องมีการเวนคืนไปแล้ว และจะใช้เวลาพิจารณาอีกระยะหนึ่ง ขณะที่การใช้ประโยชน์พื้นที่ชดเชย 110, 000 ตารางเมตร ทางกรมการขนส่งทางบกยืนยันที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์เหมือนเดิม แต่อาจปรับรูปแบบให้ย้ายมาบางส่วน เช่น รถขนาดเล็ก เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจราจร และการเวนคืนที่ดิน
“กรมมั่นใจว่าโครงการหมอชิตคอมเพล็กซ์ที่ล่าช้ามา 24 ปีจะได้ข้อยุติ และเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้ โดยขณะนี้กระบวนการอีไอเอเดินหน้าไปแล้ว ปัญหาการเวนคืนที่ดินกับประชาชนก็จะหมดไป รวมถึงเรื่องการเข้ามาใช้พื้นที่ของกรมการขนส่งทางบก ก็ได้รับการยืนยันว่าจะเข้ามาใช้ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่เวนคืนที่ดิน ซึ่งเป็นทางออกที่ดีร่วมกัน เพราะหากโครงการเกิดได้จะทำให้เกิดการลงทุนมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท มีการจ้างงานหลายอัตรา เกิดศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และยังทำให้กรมมีรายได้นำส่งเข้าคลังเพิ่มขึ้นกว่า 1,200 ล้านบาท”