“ธนกร” ลั่นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยยังแกร่ง เผยฐานะการคลัง-การเงิน อยู่ในระดับดี



  • เผยทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้น ม.ค.65 อยู่ที่ 242,772.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • มีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงถึง 3 เท่า
  • ชี้วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนกระทบตลาดหลักทรัพย์ไทยยังค่อนข้างน้อย
  • คาดสงครามจบเร็ว เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ถึง 3.5-4.5% ได้ตามเป้า

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากตัวเลขทางเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทั้งด้านฐานะการคลังและฐานะการเงิน โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณสิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 59.88 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง  ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2565 อยู่ที่ 242,772.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงถึง 3 เท่า

อีกทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2565 คาดว่าจะกลับมาเกินดุลได้เล็กน้อยตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรัฐบาลยังมีเงินคงคลังเพียงพอต่อการใช้จ่ายที่จำเป็น และความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ดี 

นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมายังค่อนข้างน้อย และเป็นไปเพียงในระยะสั้น โดยปกติตลาดหลักทรัพย์จะมีความผันผันผวนตามสถานการณ์ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2565 สถานเงินทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าในตลาดหลักทรัพย์ที่ 81,356.8 ล้านบาท

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาทิศทางค่าเงินบาทโดยรวม ยังปรับตัวแข็งค่าขึ้นที่ร้อยละ 2.10 จากต้นปี 2565 จากแผนการเปิดประเทศและตามสถานะเงินลงทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าในตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรไทย 

ด้านการส่งออก ในเดือนมกราคม 2565 พบว่า การส่งออกในเดือนนี้ขยายตัว 8% หรือมีมูลค่า 21,258.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนมูลค่านำเข้าขยายตัว 20.5% หรือมีมูลค่า 23,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นายธนกร กล่าวว่า การที่ส่งออกไทยขยายตัวเป็นบวกในเดือนแรก มาจากความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในรูปแบบ กรอ. พาณิชย์ในการผลักดันการส่งออกไทย รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์การค้าระหว่างซาอุดิอาระเบีย โดยมีการประเมินว่า ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะยังไม่กระทบกับการส่งออกไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากรัสเซียและยูเครน ไม่ใช่ประเทศคู่ค้าหลักของไทย

ทั้งนี้ในปี 2564 ไทยได้ส่งออกสินค้าไปสู่รัสเซีย และยูเครนมีมูลค่า 32,507.68 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.38 ของมูลค่าการส่งออกรวม) และ 4,228.78 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการส่งออกรวม) หรือเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 36 และ 74 ของไทย ตามลำดับ 

สำหรับด้านการนำเข้า ไทยได้นำเข้าสินค้าจากรัสเซียและยูเครนมีมูลค่า 55,659.65 ล้านบาท (คิดเป็น ร้อยละ 0.65 ของมูลค่านำเข้ารวม) และ 8,199.64 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของมูลค่าการนำเข้ารวม) ตามลำดับ หรือคิดเป็นประเทศคู่ค้าด้านการนำเข้าลำดับที่ 26 และ 57 ของไทย 

“ทั้งนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศษฐกิจ ส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ S-Curve รวมทั้งการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล พลังงานEEC การใช้มาตรการทางการเงินและการคลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการระบาดของโควิด และการปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ประชาชน ช่วยสร้างความเข็มแข็งให้กับระบบและโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากวิกฤตรัสเซียยูเครน สามารถยุติลงได้โดยเร็ว มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงจะสามารถขยายตัวทั้งปี ที่ 3.5-4.5% ในปี 2565 ได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้” นายธนกร กล่าว