

- หลังปีนี้ติดลบ 4.8%จากพิษโควิด
- เชื่อมโยงระบบชำระเงินในภูมิภาค
- เปิดเสรีการค้าส่งเสริมการลงทุน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นางสาวเกตสุดา สุประดิษฐ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค.ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 24 ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 1- 2 ต.ค. 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรมว.คลังและผู้ว่าการธนาคารกลางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นประธานร่วม โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 24 และ AFMGM ครั้งที่ 6 เห็นชอบประเด็นหลักเพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ (Chair’s Priorities) ปี 2563 ในด้านความร่วมมือด้านการเงินการคลัง ได้แก่ 1.การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน (Sustainable Financing in ASEAN) และ2. การส่งเสริมความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในภูมิภาค (Promote Regional Payment Connectivity) ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ดำเนินการผลักดันต่อเนื่องจากที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเมื่อปี 2562 ได้วางแนวทางไว้
2.ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 24 ได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านศุลกากร ด้านภาษีอากร ด้านการประกันภัย และด้านการพัฒนาตลาดทุน เป็นต้น โดยที่ประชุมได้รับทราบความสำเร็จในการเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ผ่านระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว ( ASW) ระหว่างกันได้ครบทั้ง 10 ประเทศ
ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาตลาดทุน นางสาวเกตสุดาฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พันธบัตรเพื่อสังคม และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน วงเงินรวมไม่เกิน 30,000 ล้านบาท โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนบนพื้นฐานการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป ซึ่งถือเป็นการดำเนินการด้านการเงินยั่งยืนตามแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอาเซียน
3.ที่ประชุม AFMGM ครั้งที่ 6 ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการในสาขาต่างๆ ภายใต้แผนงานการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน เช่น การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน การเข้าถึงบริการทางการเงิน การส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน เป็นต้น
โดยที่ประชุมได้รับรองรายงานของคณะทำงานเพื่อพัฒนาตลาดทุน เรื่อง การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงประเด็นที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมวาระการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน
นอกจากนี้นางสาวเกตสุดาฯ ได้เน้นย้ำต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในรอบที่ 9 ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการเงินของอาเซียน เพื่อยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนไทยในการขยายการค้าการลงทุนในสาขาบริการด้านการเงินออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นได้สะดวกยิ่งขึ้น
4.ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของอาเซียนและของโลก โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจอาเซียนจะหดตัวประมาณ 4.9% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่จะกลับมาขยายตัวได้ประมาณ 6.0% ในปี 2564 และเน้นย้ำว่า การสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทาน (Resilient Economy) ควรเป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่ (New Normal) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด คลี่คลายลง
ทั้งนี้ ในส่วนของอาเซียนแต่ละประเทศได้มีมาตรการรับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงที ตลอดจนได้มีความร่วมมือ เช่น การก่อตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับ COVID-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund) การจัดทำร่าง ASEAN Comprehensive Recovery Framework เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เห็นว่า ยังมีความท้าทายอยู่ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจอาเซียนจะต้องอาศัยความร่วมมือระดับประเทศที่แข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน การพัฒนาระบบสาธารณสุข การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้อาเซียนพัฒนาได้อย่างยั่งยืนและเป็นแบบอย่างแก่ประชาคมโลกต่อไป ทั้งนี้ การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของประเทศไทยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน อันจะเป็นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
อีกทั้งยังจะส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศเพื่อร่วมกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกต่อไป สำหรับการประชุม AFMM และ AFMGM ครั้งต่อไปในปี 2564 จะมีบรูไนดารุสซาลามเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 -30 มี.ค.2564
ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาตลาดทุน นางสาวเกตสุดาฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พันธบัตรเพื่อสังคม และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน วงเงินรวมไม่เกิน 30,000 ล้านบาท โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนบนพื้นฐานการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป ซึ่งถือเป็นการดำเนินการด้านการเงินยั่งยืนตามแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอาเซียน
3.ที่ประชุม AFMGM ครั้งที่ 6 ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการในสาขาต่างๆ ภายใต้แผนงานการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน เช่น การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน การเข้าถึงบริการทางการเงิน การส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน เป็นต้น
โดยที่ประชุมได้รับรองรายงานของคณะทำงานเพื่อพัฒนาตลาดทุน เรื่อง การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงประเด็นที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมวาระการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน
นอกจากนี้นางสาวเกตสุดาฯ ได้เน้นย้ำต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในรอบที่ 9 ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการเงินของอาเซียน เพื่อยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนไทยในการขยายการค้าการลงทุนในสาขาบริการด้านการเงินออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นได้สะดวกยิ่งขึ้น
4.ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของอาเซียนและของโลก โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจอาเซียนจะหดตัวประมาณ 4.9% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่จะกลับมาขยายตัวได้ประมาณ 6.0% ในปี 2564 และเน้นย้ำว่า การสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทาน (Resilient Economy) ควรเป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่ (New Normal) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด คลี่คลายลง
ทั้งนี้ ในส่วนของอาเซียนแต่ละประเทศได้มีมาตรการรับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงที ตลอดจนได้มีความร่วมมือ เช่น การก่อตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับ COVID-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund) การจัดทำร่าง ASEAN Comprehensive Recovery Framework เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เห็นว่า ยังมีความท้าทายอยู่ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจอาเซียนจะต้องอาศัยความร่วมมือระดับประเทศที่แข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน การพัฒนาระบบสาธารณสุข การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้อาเซียนพัฒนาได้อย่างยั่งยืนและเป็นแบบอย่างแก่ประชาคมโลกต่อไป
ทั้งนี้ การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของประเทศไทยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน อันจะเป็นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
อีกทั้งยังจะส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศเพื่อร่วมกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกต่อไป สำหรับการประชุม AFMM และ AFMGM ครั้งต่อไปในปี 2564 จะมีบรูไนดารุสซาลามเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 -30 มี.ค.2564