ททท.เปิดวิธีใช้สิทธิ์แพ็คเกจ “เราไปเที่ยวกัน”รับสิทธิ์สูงสุด 5 คืน แยกเที่ยวหลายๆครั้งได้



  • ไม่จำเป็นต้องพัก 5 คืนรวดเดียว
  • เงินค่ากินค่าเที่ยวให้คืนละ 600 บาท
  • วันแรกใช้ไม่หมดนำไปทบใช้วันต่อไปได้

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยถึงการใช้สิทธิ์ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว ภายใต้แพ็คเกจ “เราไปเที่ยวกัน”ที่รัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าที่พักโรงแรม โฮมสเตย์ ในอัตรา 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน โดยนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้สิทธิ์จะต้องลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์มธนาคารกรุงไทย และจองผ่านระบบออนไลน์และต้องจ่ายเงินค่าที่พักเมื่อจองที่พักในทันที 60% ส่วนอีก 40% รัฐบาลจะจ่ายให้กับโรงแรมเองเมื่อนักท่องเที่ยวเช็คเอาท์จากห้องพัก

“นักท่องเที่ยว 1 คนจะได้รับ 1 สิทธิ์ สูงสุดไม่เกิน 5 คืน แต่สามารถแยกการเดินทางได้ และไม่จำเป็นต้องไปครั้งเดียว 5 คืน โดยครั้งแรกอาจจะไป จ.เชียงใหม่ 3 คืน และในภายหลังไป จ.ภูเก็ต อีก 2 คืนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในช่วงระหว่างเดือนก.ค.-ต.ค.2563 ซึ่งเป็นระยะของโครงการเท่านั้น โดยทั้งโครงการนี้รัฐช่วยสนับสนุนค่าห้องพักให้ 5 ล้านคืน”

ส่วนค่าห้องพักที่รัฐบาลช่วยจ่ายให้ 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน เท่ากับราคาค่าห้องพักสูงสุดจะอยู่ที่ 7,500 บาท/ห้อง/คืน ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องจ่ายเองก่อน 4,500 บาท/ห้อง/คืน อย่างไรก็ตาม หากนักท่องเที่ยวเลือกพักห้องที่มีราคาแพงกว่า 7,500 บาท/ห้อง/คืน เช่น 10,000 บาท/ห้อง/คืน รัฐจะช่วยจ่ายให้สูงสุด 3,000 บาท/ห้อง/คืน ส่วนอีก 7,000 บาท/ห้อง/คืนนักท่องเที่ยวต้องจ่ายเอง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบรรดาผู้ประกอบการโรงแรมจะทำโปรโมชั่นห้องพักราคาพิเศษออกมา เพราะรัฐบาลวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ราคาห้องพักจะต้องไม่สูงกว่าราคาที่เสนอขายผ่านเว็บไซด์ของที่พักออนไลน์(OTA) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นักท่องเที่ยวพักโรงแรมคืนละ 1,000 บาท ก็ต้องจ่ายเอง 600 บาท ส่วนอีก 400 บาทรัฐบาลจ่ายให้

สำหรับเงินที่รัฐจะช่วยให้นักท่องเที่ยวที่ใช้สิทธิ์เป็นค่าอาหารและค่าแหล่งท่องเที่ยว จะให้กับผู้ใช้สิทธิ์ 600 บาทต่อ คืน สูงสุดไม่เกิน 5 คืน สมมติ นักท่องเที่ยวไปพักโรงแรม 3 วัน 2 คืน ก็จะได้รับเงินผ่านเข้าแอพพลิเคชั่นเป๋าตังที่เรียกว่าบัตรกำนัลดิจิทัล (อีวอยเชอร์) 1,200 บาท โดยใช้ได้ตั้งแต่วันที่เช็คอินในโรงแรม จนถึงวันเช็คเอาท์ เวลา 23.59 น. โดยมีเงื่อนไขว่าต้องนำไปใช้ในร้านค้าที่อยู่จังหวัดเดียวกับที่ตั้งของโรงแรมที่พักเท่านั้น เช่น ไปพักโรงแรมที่พัทยา แต่ใช้เงินในแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง ไม่หมด จะไม่สามารถนำกลับมาใช้ที่กรุงเทพฯได้ และเงินที่รัฐบาลให้นี้ต้องใช้ร่วมกับค่าอาหารหรือค่าแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายเองก่อน 60% เช่น ไปทานอาหารในมื้อนั้น 1,000 บาท จะต้องจ่ายเอง 600 บาท ส่วนอีก 400 บาทสามารถเงินที่รัฐให้มาช่วยจ่ายได้ อย่างไรก็ตาม ในวันแรกที่ได้เงินมา 600 บาท ใช้ไปเพียง 400 บาท จึงเหลืออีก 200 บาท สามารถนำไปใช้ร่วมในวันรุ่งขึ้น เท่ากับจะมีเหลืออยู่ 800 บาทได้ และย้ำว่าเบิกเป็นเงินสดไม่ได้

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ททท.กำลังคิดกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วง 1-2 เดือนแรก หรือภายในเดือนก.ค.-ส.ค.นี้ คงไม่ปล่อยให้รอเที่ยวในช่วงท้ายๆ ของระยะเวลาที่กำหนดไว้ภายใน 4 เดือน (ก.ค.-ต.ค.) ไม่อย่างนั้น อาจเกิดภาพคนแห่รอเที่ยวช่วงเดือนต.ค.นี้กันหมด จึงต้องหาโปรโมชั่นหรืออออกแคมเปญสร้างแรงจูงใจในการเริ่มเดินทางเร็วขึ้น รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับรูปแบบการออกเดินทางท่องเที่ยววิถีใหม่ (นิวนอร์มอล) เพื่อไม่ให้การกลับมาเริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง เกิดการกลับมาระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 ได้

ส่วนของรูปแบบแพลตฟอร์มในการลงทะเบียนรับสิทธิ์หรือโอนเงินส่วนต่างคืนให้กับประชาชน จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอการสรุปผลหลังจากหารือร่วมกับธนาคารกรุงไทยก่อน เนื่องจากเป็นผู้จัดทำแพลตฟอร์มให้กับทั้ง 3 แพคเกจ โดยได้รับคำสั่งมาว่า ขอให้ขั้นตอนง่าย ไม่เป็นภาระกับผู้ที่ต้องการเที่ยว และเรียนรู้จากข้อจำกัดหรือปัญหาในอดีต นำกลับมาปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากที่สุดเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตัวแพลตฟอร์มจะต้องรองรับความแตกต่าง อาทิ หากเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้ว จะต้องจองโรงแรมหรือที่พัก ซึ่งจะกำหนดเวลาให้จองได้ภายในกี่วัน เช่น กำหนดว่าจะต้องจองภายใน 7 วัน หากเกินสิทธิ์ที่ได้รับจะหายไป เพราะหากไม่จองแต่เก็บสิทธิ์ไว้ก็อาจเป็นการกั๊กสิทธิ์ของคนอื่นได้ รวมถึงหากจองเสร็จแล้วจะเลือกจำนวนวันเข้าพักอย่างไร อาทิ บางคนอาจต้องการจอง 3 คืน บางคนอาจต้องการจองทั้งหมด 5 คืนเลย หลังจากนั้นเมื่อเที่ยวเสร็จแล้ว รัฐจะต้องทำการโอนเงินให้ผู้ประกอบการอย่างไร ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องส่งเข้ามาในระบบแบบใด เพื่อรับเงินส่วนต่างคืน โดยระบบจะต้องรองรับเงื่อนไขเหล่านี้ ซึ่งตรงนี้จะต้องหารือกันว่าจะสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร