

- เสริมประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่ง แก้ไขปัญหาการจราจรหนาแน่น
- คาดใช้งบราว 2,396 ล้านบาท ในการเวนคืนที่ดิน
- ตั้งเป้าดำเนินการก่อสร้างโครงการใช้เวลา 2 ปี
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสภาพการจราจรในโครงข่ายถนนในพื้นที่จากฝั่งตะวันตกด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร มีสภาพที่หนาแน่น ทั้งบนเส้นทางของถนนนครอินทร์ในทิศทางขาเข้าตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม 5 รวมถึงทางขึ้น-ลง และจุดตัดทางแยกต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีสาเหตุจากปริมาณรถ ส่วนหนึ่งต้องเดินทางผ่านถนนสายหลักเดิมในพื้นที่ เพื่อมุ่งสู่พื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ
ทั้งนี้เนื่องด้วยถนนสายหลักเดิมเหล่านั้นมีปริมาณจราจรเกินกว่าที่ถนนจะรองรับได้ ส่งผลให้การจราจรติดขัดต่อเนื่อง และสะสมเป็นบริเวณกว้าง ประกอบกับการที่ ทช.ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ถนนนนทบุรี1 (สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์) แล้วเสร็จ ประชาชนจึงได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการก่อสร้างโครงการถนนเชื่อมต่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ถนนนนทบุรี 1 มายังถนนกาญจนาภิเษก จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่โครงข่ายคมนาคม สามารถใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางระหว่างด้านตะวันตก-ตะวันออกของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังเชื่อมโยงกับถนนสายหลักที่สำคัญในแนวเหนือ-ใต้ ได้อีกด้วย

นายปฐม กล่าวว่า สำหรับลักษณะของโครงการนั้น จะเป็นถนนก่อสร้างใหม่ มีแนวเส้นทางเริ่มต้นจากถนนเชื่อมต่อสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ (บริเวณทางแยกต่างระดับถนนราชพฤกษ์) วางตัวมาทางทิศตะวันตก ข้ามถนนบางกรวย-ไทรน้อย ผ่านพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่โล่งข้ามคลองบางกอกน้อย จนบรรจบกับถนนกาญจนาภิเษก (ทางหลวงหมายเลข 9) ระยะทางรวมโดยประมาณ 3.827 กิโลเมตร รูปแบบของโครงการเป็นถนนที่มีผิวจราจรแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 6-8 ช่องจราจร ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25 เมตร พร้อมทางเท้าทั้งสองข้างกว้างข้างละ3.75 เมตร มีเขตทางโดยประมาณ 40 เมตร แบ่งทิศทางการจราจร ไป-กลับ มีสะพานยกระดับ (Overpass) ข้ามจุดตัดกับถนนบางกรวย – ไทรน้อย สะพานข้ามคลองบางกอกน้อย และทางแยกต่างระดับ (Interchange) บริเวณจุดตัดกับถนนกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของโครงการ ทั้งนี้ โครงการกำหนดให้ระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดอยู่ใต้ดิน

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน ทช.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์และประมาณราคา เพื่อกำหนดเป็นค่าทดแทนในการเวนคืน คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 2,396 ล้านบาท เพื่อนำที่ดินมาดำเนินการก่อสร้างทางหลวงชนบทต่อไป โดยจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเป็นเวลาทั้งสิ้น 270 วัน การดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะใช้ระยะเวลา 1 ปีงบประมาณ และการดำเนินงานก่อสร้างคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี