ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล…รัฐบาลชวนใช้บริการสำนักงานที่ดินออนไลน์ ชูจดทะเบียนสิทธิ ทำนิติกรรมนอกพื้นที่ตั้งที่ดินได้



  • อำนวยความสะดวกให้ประชาชน ผู้ประกอบธุรกิจ สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ
  • ย้ำการจดทะเบียนต่างสำนักงาน จะต้องเป็นแบบที่ไม่มีการต้องประกาศหรือรังวัด ต้องมีเอกสารเป็นโฉนดที่ดิน
  • เผยบริการนี้จะครอบคลุมที่ดินในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 2.2 ล้านแปลง

วันนี้ (21 เม.ย.65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มีนโยบายให้พัฒนาบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนโดยตรงนำระบบดิจิทัลเข้ามาปรับใช้กับการให้บริการ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้วยนั้น  

ทั้งนี้กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้พัฒนาสำนักงานที่ดินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินออนไลน์ ให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครสามารถจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินแห่งใดของกรุงเทพมหานครก็ได้ที่ใกล้บ้านหรือที่สะดวก โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่    

ทั้งนี้สิทธิหรือนิติกรรมที่จะดำเนินการจดทะเบียนต่างสำนักงานได้นี้ จะต้องเป็นแบบที่ไม่มีการต้องประกาศหรือรังวัดต้องมีเอกสารเป็นโฉนดที่ดินเท่านั้น และเจ้าของที่ดินต้องเข้าไปดำเนินการด้วยตนเอง 

สำหรับโดยผู้ต้องการใช้บริการจดทะเบียนที่ดินต่างสำนักงานแบบออนไลน์นี้ จะต้องจองคิวล่วงหน้าโดยโหลดแอปพลิเคชั่น e-QLands เพื่อเข้าไปลงทะเบียนจองคิวล่วงหน้า 3 วันทำการ  โดยเข้าไปในแอปพลิเคชั่นแล้วกดเลือกจองคิวจดทะเบียนต่างสำนัก เลือกสำนักงานที่ใกล้บ้านหรือที่สะดวกรอการยืนยัน จากนั้นก็เดินทางไปจดทะเบียน ณสำนักงานที่ดินที่จองไว้ได้ 

“รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ที่ต้องจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรมที่ดินใช้บริการจดทะเบียนที่ดินต่างสำนักงานแบบออนไลน์ซึ่งจะเพิ่มความสะดวก ลดลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดเวลาทำนิติกรรมได้มาก เพราะปีหนึ่งๆในกรุงเทพมหานครมีผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมถึงปีละ 9 แสนรายการ โดยบริการนี้จะครอบคลุมที่ดินในกรุงเทพมหานครทั้งหมด2.2 ล้านแปลง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวด้วยว่า บริการนี้เริ่มนำร่องในกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่แรก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีเป้าหมายจะขยายบริการจดทะเบียนที่ดินออนไลน์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2566-67 จะขยายไปใน 10 จังหวัด แยกเป็น 4 จังหวัดในปี 2566 ได้แก่ อุบลราชธานี หนองคาย เชียงใหม่ และสงขลา และ 6 จังหวัดในปี 2567 ประกอบด้วยขอนแก่น ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ เพชรบุรี สิงห์บุรี โดยบริการที่กว้างขวางขึ้นจะช่วยยกระดับเรื่องการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business ในระยะยาวของประเทศไทยด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อประเทศไทยของนักลงทุนต่อไป