ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวน ดาวโจนส์ลบกว่า 100 จุด จับตาเศรษฐกิจ-ขัดแย้งจีนกับสหรัฐฯ



  • นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนใกล้ชิด
  • แรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีกลับมาอีกครั้ง กดดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยืนแดนลบ
  • กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งกว่าที่คาด

เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวผันผวน ทั้งในแดนลบและแดนบวก โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 27,691.26 จุดล ลดลง 153.65 จุด หรือ -0.55% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,122.53 จุด ลดลง 7.20 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,373.25 จุด ลดลง 8.74 จุด หรือ -0.26%

ในช่วงเปิดตลาดนักลงทุนขานรับผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ดีขึ้น หลังการเปิดเศรษฐกิจของสหรัฐฯทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการขายเพื่อจับตาความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ส่งผลให้ตลาดผันผวน และดัชนีกลับไปยืนในแดนลบ

ทั้งนี้ โฮม ดีโปท์ เปิดเผยยอดขายในไตรมาส 2 พุ่งขึ้นกว่า 23% ขณะที่วอลมาร์ทเปิดเผยยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 97% ในไตรมาส 2 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ก.ค. โดยได้แรงหนุนจากความต้องการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ขณะที่ยอดขายไม่รวมเชื้อเพลิงในร้านสาขาของวอลมาร์ทที่เปิดทำการอย่างน้อย 1 ปีนั้น เพิ่มขึ้น 9.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจเพิ่มขึ้น 5.73%

นอกจากนั้น ตัวเลข การเริ่มสร้างบ้าน ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเปิดเผยในวันนี้ว่า เพิ่มขึ้น 22.6% สู่ 1.496 ล้านหลังในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.22 ล้านหลังในเดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.24 ล้านหลัง ยังช่วยให้บรรยากาศในตลาดปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ การสร้างบ้านในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแล้วในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ภาคการก่อสร้างบ้านกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์จากผลกระทบของโรคโควิด-19 ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 18.8% แตะ 1.495 ล้านหลัง และเพิ่มขึ้น 9.4% จากเดือนก.ค. 2562

อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากเมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศยกระดับมาตรการกีดกันบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน โดยปิดช่องทางที่หัวเว่ยจะสามารถเข้าถึงชิปและเทคโนโลยีต่างๆ ของสหรัฐ นอกจากนั้น สหรัฐยังขึ้นบัญชีดำบริษัทในเครือหัวเว่ยเพิ่มอีก 38 แห่ง ส่งผลให้ยอดรวมบริษัทในเครือหัวเว่ยที่ถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ที่ 152 แห่ง

ทั้งนี้ นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว และมองว่า การเปิดเศรษฐกิจที่ได้ผลดี จากยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น อาจจะช่วยให้คนออกมาซื้อของมากขึ้น และการทำงานที่บ้านลดลงในอนาคต

นอกจากนี้ นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 28-29 ก.ค.ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด