

- ไทยพาณิชย์มอง โควิด-19 ทุบยอดขายที่อยู่อาศัยปีนี้ติดลบ 29%
- แบงก์คุมเข้มสินเชื่อหนุนยอดทิ้งเงินดาวน์พุ่งพรวด 40%
- ยอดโอนทั้งปีเหลือ 8.7 แสนล้านบาท ติดลบ 7%
นางสาวปราณิดา ศยามานนท์ ผู้จัดการคลัสเตอร์บริการ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สภาวะตลาดที่อยู่อาศัยมีทิศทางหดตัวลงอย่างมากจากผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนหน่วยขายได้ที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะหดตัวที่ -29% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ล่าสุดในไทย จะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจนส่งผลให้ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการน็อกดาวน์ ค่อนข้างมากแล้ว แต่จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย กำลังซื้อผู้บริโภคปรับลดลงอย่างรุนแรง
“แม้ว่าภายหลังการผ่อนคลายล็อกดาวน์ อาจจะมีกลุ่มรายย่อยบางส่วนที่ได้รับผลกระทบน้อยอาจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นสะท้อนจากยอดขายที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่โดยรวมยอดขายที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และยังอยู่ในภาวะซบเซา ส่งผลให้คาดการณ์จำนวนหน่วยขายได้ในปีนี้ หดตัวที่ -29% จากในช่วงครึ่งแรกของปีที่หดตัว -45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน”
สำหรับมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปีนี้ หดตัวที่ -7% หากดูภาพรวมการโอนที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่มาตรการแอลทีวี มีผลบังคับในเดือนเม.ย.ปี 62 และต่อเนื่องมาในปีนี้ โดยหน่วยโอนและมูลค่าโอนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงครึ่งแรกของปีหดตัว -6.3% และ -5.2% ตามลำดับ ทั้งนี้ยอดโอนที่ยังไม่ติดลบมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการโอนคอนโดมิเนียมที่มาจากสัญญาซื้อขายในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในช่วงปี61 ที่มีหน่วยขายได้ของคอนโดมิเนียมที่สูงถึง 69,352 หน่วย
นางสาวปราณิดา กล่าวอีกว่า สถาณการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19จะเริ่มคลี่คลาย แต่ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงแรงทำให้แนวโน้มการทิ้งดาวน์ มีโอกาสเร่งตัวสูงขึ้นจากโดยเฉลี่ยที่อยู่ที่ราว 20-25% เพิ่มขึ้นมาเป็น 30-40% ของยอดขายล่วงหน้าทั้งหมด ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังมีความเข้มงวดสะท้อนได้จากยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่หดตัวที่ -14% ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีแนวโน้มหดตัว ส่งผลให้มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปีคาดว่าจะหดตัวที่ -7% มาอยู่ที่ 870,000 ล้านบาท