ดีแทค เผยไตรมาส3 โกยกำไรจิ๊บๆ 488 ล้านบาท

  • รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC 13,930 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิไตรมาส 3 อยู่ที่ 488 ล้านบาท
  • มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ที่ 21.1 ล้านราย

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศไทยยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ จากปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ ประเทศไทยเห็นการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของลูกค้าลดลง รวมทั้งการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมในไตรมาสนี้ยังคงมีความเข้มข้น แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกเช่นนี้ ดีแทคยังคงยึดมั่นให้ความสำคัญและเดินหน้าตามกลยุทธ์ของบริษัท และส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากการที่ดีแทคบรรลุเป้าหมายในการขยายเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งหมด 77 จังหวัดภายในครึ่งปีแรก บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเร่งขยายเครือข่าย 5G อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า โดยมีการติดตั้งสถานีฐานบนเครือข่าย 5G เพิ่มขึ้นประมาณ 600 สถานีฐานในไตรมาสนี้ และมีการติดตั้งสถานีฐานบนคลื่นย่านความถี่ต่ำเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 สถานีฐาน ทำให้มีสถานีฐานบนเครือข่าย 700 MHz ที่ได้รับการติดตั้งแล้วจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 18,800 สถานีฐาน คะแนนความพึงพอใจที่มีต่อเครือข่ายสุทธิของดีแทคมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน รวมทั้งมีการร้องเรียนเกี่ยวกับเครือข่ายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 775,000 รายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565”

ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/65 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ที่ 21.1 ล้านราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากไตรมาสก่อน รายได้ค่าบริการไม่รวม IC คงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 0.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย EBITDA สำหรับไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 7,177 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin (normalized) แข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 43.8 ในไตรมาสที่ 3/65 และมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 อยู่ที่ 488 ล้านบาท

นายนกุล เซห์กัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ดีแทค กล่าวว่า กลยุทธ์ของดีแทคในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางยังคงดำเนินต่อไป โดยมีลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) และบริการที่นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ (dtac beyond) เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อน โดยบริการโซลูชั่นที่เสนอขายให้กับ SME ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนยอดขายไลเซนส์ได้ถึง 2.5 เท่าจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ดีแทคยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์กับคู่ค้าเพื่อเป็นการสนับสนุนการสร้างการเติบโตของรายได้ โดยในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ รายได้จากการให้บริการจาก B2B เติบโตขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน dtac beyond ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากปีก่อน 

ทั้งนี้ รายได้จาก dtac beyond ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ เติบโตขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทำให้ดีแทคสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ได้ร้อยละ 6.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 3.1 จากปีก่อน นอกเหนือจากการลดค่าใช้จ่ายที่อยู่หลัง EBITDA ที่ทำเพิ่มได้อีกในไตรมาสนี้ EBITDA สำหรับไตรมาส 3/65 ลดลงร้อยละ 13.4 จากไตรมาสก่อน อันเนื่องมาจากผลกระทบเชิงบวกจากการปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการมุ่งเน้นกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA (normalized) ยังคงทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจมหภาค และผลกระทบเชิงลบจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 3 ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/65 ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในไตรมาส 3/65 และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากต้นทุนค่าธรรมเนียมในปี 2564 กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 3/65 รวมผลกระทบจากค่าสินไหมทดแทนระหว่างกาลประมาณ 170 ล้านบาทจากการเคลมเงินประกันและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย CAPEX สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,954 ล้านบาท”

“ดีแทคยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2565 ตามที่ได้เคยแจ้งไว้ โดยมีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่า IC) ในระดับคงที่หรือลดลงในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ ในขณะที่ EBITDA คงที่จนถึงเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ และมีระดับการลงทุนอยู่ที่ 11-13 พันล้านบาท”

สำหรับตัวเลขสำคัญทางการเงิน ในไตรมาส 3 ปี 2565 (หลัง TFRS 15 และ 16) รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC 13,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน EBITDA อยู่ที่ 7,177 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไร EBITDA (normalized) อยู่ที่ร้อยละ 43.8 กำไรสุทธิ 488 ล้านบาท