“ดีแทค” เปิด 3 เทรนด์ท้าทายสำคัญของโลกหลังยุควิกฤตโควิด



  • เผยกรอบการทํางานบนหลักการดําเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
  • หนุนแนวคิด “ทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
  • ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครึ่งหนึ่งภายในปี 2573

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2564 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค (dtac) จัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสมือนจริงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ dtac Responsible Business Virtual Forum 2021 ภายใต้หัวข้อ “พลิกวิกฤตเศรษฐกิจ สู่แนวคิดใหม่เพื่อองค์กรธุรกิจที่ยั่งยืน” (Rethinking Business Resilience in Post-Pandemic Economy)

โดย “ชารัด เมห์โรทรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค วิเคราะห์เทรนด์ระดับโลกที่จะส่งผลต่อการดําเนินงานของธุรกิจ ประเมินความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรอบด้าน และกําหนดกรอบการทํางานบนหลักการดําเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ประจําปี 2564-2566 เพื่อเป็นแนวทางการทํางานเชิงรุกในประเด็นความเสี่ยงต่อการดําเนินธุรกิจในระยะยาว

“ชารัด” กล่าวว่า ดีแทคมองเห็น 3 แนวโน้มสำคัญที่จะเปลี่ยนสภาพสังคมและธุรกิจในโลกหลังยุคโควิด-19 ได้แก่

เทรนด์ที่ 1 คือความสำคัญของขนาดและประสิทธิภาพ โดยเห็นได้จากดีลการควบรวมธุรกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาค เช่น ความสนใจในธุรกิจโทรคมนาคมของบริษัทพลังงาน การควบรวมธุรกิจระหว่าง Digi และ Celcom ในมาเลเซีย ขณะที่สตาร์ตอัพยูนิคอร์นสัญชาติสิงคโปร์ Grab มีแผนออก IPO เป็นครั้งแรก

“ธุรกิจจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs กำลังพบกับภาวะหนี้สะสมท่วม แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัล ซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างมากของ SMEs นอกเหนือไปจากการควบรวมกิจการ การทำ partnership และ outsource ก็เป็นอีกวิธีการที่ทำให้ธุรกิจโฟกัสได้ดีขึ้น”

การถือหุ้นใน dtac ของ Telenor ทำให้เราได้รับประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญในระดับโลก รวมถึงการพัฒนา 5G การเป็นสมาชิกของคณะกรรมการจริยธรรมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence –  AI) และตอนนี้ dtac กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Telenor Connexion ในการพัฒนา IoT

“ชารัด” กล่าวต่อว่า เทรนด์ที่ 2 คือ ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น แม้โควิด-19 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลอย่างรวดเร็วในภาครัฐและเอกชน แต่ในกลุ่มคนชายขอบและกลุ่มเปราะบางยังคงต้องได้รับการแก้ไข และนี่คือสิ่งที่ dtac มองว่าเป็นความรับผิดชอบร่วม เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการดิจิทัลได้ง่ายและปลอดภัย

“เราร่วมแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลผ่าน digital ecosystem ที่ทำให้ผู้ใช้งานสนุก มีปฏิสัมพันธ์ร่วม และตรงกับความต้องการเฉพาะ นอกจากนั้นดีแทคได้พัฒนาโครงข่ายบนคลื่นความถี่ 700 MHz เสริมศักยภาพด้าน coverage ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้นโดยในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังมีโครงการ safe internet เพื่อช่วยให้เด็กไทยมีภูมิคุ้มกันในการท่องโลกออนไลน์ และยังมีโครงการดีแทคเน็ตทำกิน ติดอาวุธทางดิจิทัลให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก”

เทรนด์ที่ 3 คือ ปรากฏการณ์โลกร้อนที่ส่งต่อความยั่งยืนในระบบซัพพลายเชน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในมหาอุทกภัยในปี 2554 ทำให้เกิดการขาดแคลนชิปเซตไปทั่วโลก และตอนนี้ได้ส่งผลกระทบตามแนวชายฝั่งและระบบนิเวศทางการเกษตรที่เปราะบาง

“การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบช่วยทำให้ระบบซัพลายเชนมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในระยะยาว ดังนั้นดีแทคจึงตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และเรากำหนดกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนได้ทั้งสิ้น 7 ด้าน ได้แก่ ธรรมาภิบาล ความเป็นส่วนตัว ซัพพลายเชน เสริมสร้างทักษะดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สิทธิมนุษยชน และอาชีวอนามัยในการทำงาน”

นายชารัด อธิบายเพิ่มเติมว่า ดีแทคได้กำหนดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible business) อันจะเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการยืนหยัดท่ามกลางความไม่แน่นอน และสร้างความไว้วางใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ โดยประกอบด้วย 7 เสาหลัก ได้แก่ 1. การสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้วยหลักธรรมาภิบาล 2. การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล 3. การสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน 4. การสร้างสังคมดิจิทัลสำหรับทุกคน 5. การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ 6. สิทธิมนุษยชน และ 7. การสร้างสุขภาวะในที่ทำงาน

นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทคโนโลยี ดีแทค กล่าวว่า เป้าหมายดังกล่าวถือเป็นการสร้างมาตรวัดที่เป็นรูปธรรม ท่ามกลางความท้าทายด้านการเข้าถึงแหล่งพลังงานทางเลือกที่มีจำกัด เนื่องด้วยความต้องการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีความแตกต่างเฉพาะภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม บริการโทรคมนาคมได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดีแทคนั้นมีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนอย่างยืดหยุ่น ผ่านการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยในทุกสถานการณ์

นายมาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร ดีแทค กล่าวว่า ธุรกิจจำนวนมากต่างต้องพึ่งพาข้อมูลมากขึ้นในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วยในบางกรณี ในยามที่แนวทางการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นยังไม่มีความชัดเจน เราจึงยินดีที่ได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมสิทธิความเป็นส่วนตัวในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ภาครัฐต้องอาศัยการทำงานแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งในแง่ของความหมายในบทบัญญัติที่สำคัญ และความสอดคล้องระหว่างกฎหมายอย่าง PDPA กับกฎเกณฑ์เฉพาะในแต่ละหมวดธุรกิจ ซึ่งการกำหนดมาตรฐานและความคาดหวังอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเข้าใจอันดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค