

.นักลงทุนเกาะติดแถลงการณ์ประธานเฟดเค้นหาสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจ
.ตลาดกังวลผลตอบแทนพันธบัตร -ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองบ้านพุ่ง
.หุ้นเทคโนโลยีออกมายังมีแรงขาย แม้ร่วงต่อเนื่องหลายวันที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับมาเปิดในแดนลบอีกครั้ง โดยเมื่อเวลา 21.50 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 31,497.50 จุด ลดลง 39.85 จุด หรือ -0.13% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 13,393.22
จุด ลดลงต่อเนื่องอีก 71.98 จุด หรือ -0.53% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,876.91 จุด ลดลง 4.46 จุด หรือ -0.11%
วานนี้ ในการแถลงภาวะเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคากลางสหรัฐ (เฟด) ต่อสภาคองเกรส นายพาวเวลส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานในสหรัฐยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด
ทั้งนี้ แม้ระบุว่า ในขณะนี้แรงกดดันด้านราคา ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงอัตราเงินเฟ้อ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ส่วนประเด็นการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในขณะนี้นั้น นายพาวเวลกล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวเกิดจากการคาดการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวที่สูงขึ้น ซึ่งหาดมองในแง่ดีการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นการส่งสัญญาณความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ นายพาวเวล มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ ซึ่งนักลงทุนยังคงจับตาว่า เฟดจะมีมาตรการใดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมหรือไม่
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจ สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 11.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยถูกกระทบจากการเกิดพายุฤดูหนาวในสหรัฐ, การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน ซึ่งทำให้อุปสงค์ในการขอสินเชื่อลดลง
ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 12% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 11% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ทะยานขึ้น 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ราคาหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น ขานรับข่าวที่ว่า บริษัท Ark Invest ได้เข้าซื้อหุ้นของเทสลามูลค่ามากกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยังมีแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีต่อเนื่อง