ดาวโจนส์แกว่งตัวแคบ บวกเพิ่มเล็กน้อย จับสัญญาณคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ทำเนียบขาวและฝ่ายค้าน ยังอยู่ระหว่างเจรจาตกลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
  • ทรัมป์ ทวีตก่อนหน้านี้ ชี้มีแนวโน้มสูงที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลง
  • ตลาดหุ้นชะลอการซื้อหลังบวกติดต่อกัน 2 วันรอดูสถานการณ์

เมื่อเวลา 21.20 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหว ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ 28,470.99 จุด เพิ่มขึ้น 45.48 จุด หรือ +0.16% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,501.26 จุด เพิ่มขึ้น 80.28 จุด หรือ +0.70%ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ3,461.62 จุด เพิ่มขึ้น 14.79 จุด หรือ +0.43%

นักลงทุนจับตาการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 หลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้หารือกันเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อวานนี้

โดยนางเพโลซีต้องการให้ทำเนียบขาวออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับรวม ซึ่งครอบคลุมถึงการช่วยเหลือประชาชนและทุกภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ใช่เป็นการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมใดเป็นการเฉพาะ

ขณะที่นายมนูชินกล่าวอย่างชัดเจนว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับรวมเช่นกัน โดยประธานาธิว่าบดีทรัมป์ ทวีตก่อนหน้านี้ มีแนวโน้มสูงที่ทำเนียบขาวจะบรรลุข้อตกลงกับสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสเพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาสถานการณ์ทางการค้า หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีต่อแผ่นอลูมิเนียมที่มีการนำเข้าจาก 18 ประเทศ มูลค่า 1.96 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีการทุ่มตลาดสหรัฐในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยการเรียกเก็บภาษีในครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการในรอบกว่า 20 ปี หลังจากที่ทางกระทรวงได้เริ่มการสอบสวนตั้งแต่เดือนมี.ค.

โดย 18 ประเทศที่จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (AD) ต่อแผ่นอลูมิเนียมนำเข้า ได้แก่ เยอรมนี บาห์เรน โอมาน บราซิล โครเอเชีย อียิปต์ กรีซ อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลเวเนีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ สเปน ไต้หวัน และตุรกี อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ (ITC) จะทำการลงมติในขั้นสุดท้ายในเดือนก.พ.2564