

- นักลงทุนเทขายหุ้นที่ได้กำไรลดความเสี่ยง ส่งผลหุ้นโบอิ้งร่วงกว่า 6%
- ตลาดจับตานายพาวเวล ประธานเฟด-มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ
- แถลงต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎรวันนี้
- เศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบาง แต่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังคลายล๊อกดาวน์
เมื่อเวลา 21.40 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 25,540.00 จุด ลดลง 55.80 จุด หรือ -0.22%
ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 9,942.61 จุด บวกเพิ่มขึ้น 68.46 จุด หรือ +0.69% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,065.55 จุด เพิ่มขึ้น 12.31 จุด หรือ +0.40%
นักลงทุนเทขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับขึ้นสูง เพื่อลดความเสี่ยง ในขณะที่จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันนี้ โดยทั้งสองจะกล่าวถึงบทบาทของเฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยนายพาวเวลและนายมนูชินมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงในเวลา 12.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.30 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ สื่อได้เผยแพร่ร่างแถลงการณ์ของนายพาวเวล ที่คาดว่าเขาจะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการฯในวันนี้ โดยมีเนื้อหาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ท่ามกลางความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
“การผลิตและการจ้างงานยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด ขณะที่เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอนอย่างมาก และขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19” นายพาวเวลกล่าว
“การฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ และแนวโน้มในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการดำเนินมาตรการของรัฐบาลในทุกระดับเพื่อให้การเยียวยาและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฟดได้ออกมาตรการที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนการทำงานของตลาด และปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจที่มีความต้องการเงินทุน
รวมทั้ง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นใกล้ระดับ 0%”
ทั้งนี้ นายพาวเวลยืนยันว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น และบรรลุเป้าหมายของเฟดในการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพของราคา ขณะที่เฟดจะจับตาความคืบหน้าที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะปรับแผนของเฟดให้มีความเหมาะสมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว
วันดียวกัน ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 4.7% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนมี.ค.
ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนมี.ค. ราคาบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดในเมืองฟีนิกซ์ ซีแอตเติล และมินเนอาโพลิส
โดยหุ้นโบอิ้งปรับลดลงกว่า 6%หลังเพิ่มขึ้น 14% วานนี้ ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี และการเงินบางตัว รวมทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการคลายล็อกดาวน์ ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นแนสแด็ก