ดาวโจนส์ลบกว่า 90 จุด เจอแรงเทขายหลังทำนิวไฮวานนี้



.ตลาดหุ้นสหรัฐเข้าสู่ช่วงพักฐาน ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดวานนี้
.นักลงทุนติดตามรายละเอียดการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
.เกาะติดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา

เมื่อเวลาประมาณ 21.50 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 31,294.73 จุด ลดลง
91.03 จุด หรือ 0.31% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่13,995.30 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.65 จุด หรือ +0.05%
ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,907.73 จุด ลดลง 7.86 จุดหรือ -0.20%

ตลาดหุ้นสหรัฐเข้าสู่ช่วงพักฐาน โดยดัชนีดาวโจนส์ และเอสแอนด์พีเคลื่อนไหว ในแดนลบ เนื่องจากมีแรงเทขายทำกำไร ออกมา หลังดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ และได้ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 6 วัน โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

ทั้งนี้ พรรคเดโมแครตประสบความสำเร็จในการผลักดันให้สภาคองเกรสให้ความเห็นชอบต่อแนวทางการพิจารณาอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแบบ fast track โดยใช้แนวทางการจัดทำงบประมาณที่เรียกว่า budget reconciliation ซึ่งจะปูทางให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสามารถให้การรับรองงบประมาณดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แทนที่จะใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 สำหรับการผ่านกฎหมายทั่วไป และทำให้ปธน.ไบเดนสามารถผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน

ทางด้านนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ คาดการณ์ว่า สภาคองเกรสจะสามารถลงมติให้การอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนวันที่ 15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะหมดอายุลง

นักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่บริษัททวิตเตอร์และซิสโก้จะรายงานผลประกอบการในวันนี้ โดยที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาในทิศทางที่ดี บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 4/63 มีจำนวน 83.6% ที่รายงานตัวเลขรายได้และกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

ด้านสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวแคบใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนในวันนี้ หลังจากดีดตัวติดต่อกัน 6 วัน โดยราคาน้ำมันยังคงได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส