

.นักวิเคราะห์คาด ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือน ธ.ค.พุ่งกระฉูด 7.1%
.นักลงทุนเทขายหุ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน มองเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาสหรัฐพุ่ง กดดันต้นทุนธุรกิจพุ่งตาม
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,820.01 จุด ร่วงลงแรงต่อเนื่อง 411.65 จุด หรือ -1.14% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,609.31 จุด ลดลง 326.59 จุด หรือ -2.19% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,606.02 จุด ลดลง 71.01 จุด หรือ -1.52%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นแรง อาจจะกระทบต้นทุนบริษัท
นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพุธนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 6.8% ในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.9% ในเดือนพ.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ขณะที่โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุ 1.8% และการปรับขึ้นต่อเนื่องมีโอกาสทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ ซึ่งอาจบ่งชี้แนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด และคาดว่าวุฒิสภาจะให้การรับรองการแต่งตั้งนายพาวเวลเป็นประธานเฟดสมัยที่ 2 แม้ว่าสมาชิกวุฒิสภาบางรายมีท่าทีคัดค้านก็ตาม
ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ โดยธนาคารขนาดใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โกจะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์