ดาวโจนส์ร่วง 516 จุด วิตกเศรษฐกิจขาลง-เงินฝืด

  • เฟด ระบุอาจต้องใช้เครื่องมือด้านนโยบายเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น
  • พาวเวล ระบุเศรษฐกิจเปราะบางและมีความเสี่ยงขาลง
  • นักวิเคราะห์ห่วงเงินฝืด หลังดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดิ่งลง 1.3% ในเดือนเม.ย.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 13 พ.ค.ที่ 23,247.97 จุด ร่วงลง 516.81 จุด หรือ -2.17% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,820.00 จุด ลดลง 50.12 จุด หรือ -1.75% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 8,863.17 จุด ลดลง 139.38 จุด หรือ -1.55%

นักลงทุนเทขายหุ้น หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในการเสวนาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน (PIIE) เมื่อวานนี้ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงในช่วงขาลง ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจขึ้นกับการยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19

นายพาวเวลระบุว่า เฟดอาจต้องใช้เครื่องมือด้านนโยบายเพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่มีจำนวนผู้ตกงานมากกว่า 20 ล้านคนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม จะไม่ใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยจนติดลบ

 “ไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เกิดสถานการณ์ที่แตกต่างจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่สหรัฐเคยเผชิญในอดีต และสภาคองเกรสควรจะมีบทบาทมากขึ้นในการรับมือกับวิกฤตการณ์ดังกล่าวมากกว่าเฟด ด้วยการใช้มาตรการทางภาษี และการใช้จ่ายของรัฐ”

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นายเดวิด เทปเปอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปปาลูซา แมเนจเมนท์ กล่าวว่า “ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินจริงมากเป็นอันดับสองเท่าที่ผมเคยเห็นมา ซึ่งเป็นรองเพียงในปี 1999 โดยตลาดมีมูลค่าสูงมาก ขณะที่เฟดได้อัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าตลาด”

ทั้งนี้ ค่า Forward P/E ratio อิงตามการประเมินสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้นเหนือระดับ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2002

หุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น ปรับตัวลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วงลง 3.4% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 4.57% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 4.13% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 3.05% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 3.7% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ทรุดตัวลง 6.28%

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4.9% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 9.06% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.6% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 7.7% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ร่วงลง 6.6%

หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 3.5% ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2534 จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอันย่ำแย่ของอุตสาหกรรมทางอากาศ เนื่องจากไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด

หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 5% หลังจากบริษัทเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ โดยจะใช้เรือสำราญ 28 ลำของบริษัทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดิ่งลง 1.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนมี.ค. โดยการร่วงลงของดัชนี PPI ในเดือนเม.ย. ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะเงินฝืดในช่วงสั้นๆ ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทบอุปสงค์