

.หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีแรงเทขายต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูง-เศรษฐกิจฟื้น
.หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น รับราคาน้ำมันมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
.คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
33,914.61 จุด ลดลง 411.85 จุด หรือ -1.20% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,229.93 จุด ลดลง 336.77 จุด หรือ -2.31% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,287.42 จุด ลดลง 69.62 จุด หรือ -1.60%
ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมากังวลงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งตัวแรงวันนี้ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงปรับพอร์ตจากทิศทางการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นสวนทางตลาด ขานรับคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันในการประชุมวันนี้ แม้ว่าหลายประเทศกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าจำนวนดังกล่าวเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในขณะนี้
นอกจากนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจยังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. และเมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานทะยานขึ้น 18.0% ในเดือนส.ค.
ราคาหุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ยังคงร่วงลงในวันนี้ ต่อเนื่องจากที่ดิ่งลงในวันศุกร์ หลังมีการเปิดเผยประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์ในการรักษาโรคโควิด-19 กสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา และสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 50% ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นเแรง หลังจากผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้มหาศาลจากการจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในขณะนี้
ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ในการพิจารณาการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.