ดาวโจนส์ฟื้นตัวบวกขึ้นมากว่า 190 จุด คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 7%



.ตลาดหุ้นคึกคัก ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ยังออกมาสดใสต่อเนื่อง
.กระทรวงพาณิชย์คาด เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 3 จะการขยายตัวเพียง 2.0% แต่ทั้งปีโตพุ่ง 7%
. นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย.

195.43 จุด หรือ +0.55% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 15,387.54 จุด เพิ่มขึ้น 151.70 จุด หรือ +1.00%
ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,588.06 จุด เพิ่มขึ้น 36.38 จุด +0.80%

นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นอีกครั้ง หลังบริษัทฟอร์ด, คอมแคสต์ และแคทเธอร์ พิลลาร์ต่างเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 3 ขณะเดียวกัน บริษัทจำนวนเกือบ 40% ในดัชนี S&P 500 ซึ่งได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดยมากกว่า 80% ในจำนวนดังกล่าวมีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 37.6%

ราคาหุ้นของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 3% ในการซื้อขายวันนี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 3 พร้อมกับการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายยา Keytruda ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขาย Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

เมอร์คระบุว่า การปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ยังไม่รวมยอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทได้ยื่นขออนุมัติการใช้ยาเป็นกรณีฉุกเฉินต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 11 ต.ค. โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นเดือนธ.ค. ซึ่งหากได้รับการอนุมัติก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น

นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทแอปเปิลและแอมะซอน ซึ่งจะมีการรายงานหลังปิดตลาดวันนี้

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 2.0% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.7% และต่ำกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกิจสหรัฐในช่วงก่อนหน้าเติบโต 6.7% ในไตรมาส 2 และ 6.3% ในไตรมาส 1

ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 3 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง รวมทั้งตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.4% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489

ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานซึ่งแสดงการฟิ้นตัวของเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 281,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ ขณะที่ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 290,000 ราย และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย. โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้