ดาวโจนส์พลิกปิดร่วง 405จุด รับแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

  • ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน ช่วงแรกขึ้นแรง สุดท้ายพลิกปิดร่วงระนาว
  • นักลงทุนเริ่มกังวลราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแพงเกินพื้นฐาน
  • ผิดหวัง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ยังคงขัดแย้งไร้ข้อตกลง หลังล่าช้ากว่า 1เดือน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 10ก.ย.ที่ 27,534.58 จุด ลดลง 405.89 จุด หรือ -1.45% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,339.19 จุด ลดลง 59.77 จุด หรือ -1.76% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 10,919.59 จุด ลดลง 221.97 จุด หรือ -1.99%

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนมากเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ช่วงแรกของการเปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการซื้อต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยี แต่สุดท้ายราคาไม่วามารถชึ้นต่อได้ ทำให้นักลงทุนกลับมามีมุมมองที่ระมัดระวังต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น โดยยังคงกังวลว่ามูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูงเกินไปแล้วหรือไม่ ส่งผลให้หุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก และเน็ตฟลิกซ์ ถูกเทขายออกมาอย่างหนักเมื่อคืนนี้

การกลับมาขายดังกล่าวทำให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.28% ขณะที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 3.9% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.06% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 3.26% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 1.37% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 2.8%

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐโหวตคว่ำแผนเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ที่นำเสนอโดยวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน โดยทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับขนาดและขอบข่ายของมาตรการดังกล่าว ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ล่าช้ามากว่า 1เดือนแล้ว และอาจล่าช้าต่อไปอีก

นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีจุดยืนที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวงเงินของมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยพรรคเดโมแครตเสนอวงเงินมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงแรก ก่อนที่จะลดลงมาเหลือ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันวงเงินราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 884,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 850,000 ราย ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 93,000 ราย สู่ระดับ 13.385 ล้านราย

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.55% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.34% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 5.12% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ลดลง 1.84%

สำหรับความเคลื่อนไหวทางเศรษญกิจที่สำคัญทั่วโลก ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีมติคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร

นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB กล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มหดตัวลง 8.0% ในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ดีกว่าที่ระบุในเดือนมิ.ย.ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 8.7% ในปีนี้ นอกจากนี้ นางลาการ์ดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนขยายตัว 0.3% ในปีนี้ และ 1.0% ในปีหน้า