ดาวโจนส์ปิดลบ 85 จุด กังวลรายงานเฟดชี้มีความไม่แน่นอนในการฟื้นเศรษฐกิจ



  • รายงานเฟดระบุ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก
  • กังวลมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ล่าช้า-ขัดแย้ง
  • นักลงทุนชะลอซื้อหุ้น ลดความเสี่ยง แม้ผลประกอบการบริษัทไตรมาส2ออกมาดีเกินคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที 19ส.ค.ที่ 27,692.88 จุด ลดลง 85.19 จุด หรือ -0.31% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,374.85 จุด ลดลง 14.93 จุด หรือ -0.44% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 11,146.46 จุด ลดลง 64.38 จุด หรือ -0.57%

ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ และโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 28-29 ก.ค. โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และคาดว่า ทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น จะสามารถทำได้เป็นวงกว้างและมีเสถียรภาพมากเพียงใด

โดยหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลงอีก และจะนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ขณะที่ระบุด้วยว่า “มาตรการเยียวยาด้านการคลังรอบใหม่มีความจำเป็นต่อการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อน และมีความจำเป็นต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง”

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้สภาคองเกรสและทำเนียบขาวยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่พรรคเดโมแครตเรียกร้องการให้เงินทุนสนับสนุนการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขามองว่าการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์จะนำไปสู่การฉ้อโกงในการเลือกตั้ง

โดยรายงานเฟดนักลงทุนชะลอการซื้อหุ้น แม้หลายบริษัทประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน ยังมีแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากทีปรับขึ้นต่อเนื่อง

หุ้นกู๊ดเยียร์ ร่วงลง 2.36% หลังจากปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเรียกร้องให้ชาวอเมริกันเลิกใช้ยางกู๊ดเยียร์ ภายหลังจากที่บริษัทออกนโยบายห้ามพนักงานสวมเครื่องแต่งกายที่มีสัญลักษณ์ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใดๆ ซึ่งรวมถึงการห้ามสวมหมวกแก๊บที่มีข้อความว่า “Make America Great Again” ซึ่งเป็นสโลแกนในการหาเสียงของทรัมป์ในการเลือกตั้งปธน.ครั้งที่แล้ว

ขณะที่หุ้นออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 1.85% หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ให้การสนับสนุนออราเคิลในการซื้อกิจการบริษัทติ๊กต็อก (TikTok) ภายหลังจากที่สื่อรายงานว่า ออราเคิลกำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการติ๊กต็อก

หุ้นโมเมนตา ฟาร์มาซูติคัลส์ ทะยานขึ้นแข็งแกร่งถึง 69.17% ขณะที่หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจาก J&J บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการโมเมนตา ฟาร์มาซูติคัลส์ วงเงิน 6.5 พันล้านดอลลาร์ โดยการซื้อกิจการดังกล่าวจะช่วยให้ J&J เพิ่มความสามารถในการผลิตยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง

หุ้นเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.99% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรพุ่งขึ้น 25% สู่ระดับ 1.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

หุ้นทาร์เก็ต พุ่งขึ้น 12.65% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 3.38 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.62 ดอลลาร์/หุ้น

หุ้นโลว์ส ดีดตัวขึ้น 0.23% หลังจากบริษัทมีกำไรพุ่งขึ้น 68.7% และรายได้ดีดตัวขึ้น 30% ในไตรมาส 2 เนื่องจากผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่ายด้านการตกแต่งบ้าน