

- ตลาดตระหนกเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่สนามบินกรุงคาบูลของอัฟกานิสถาน
- จับตาการประชุมประจำปีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังเห็นแนวโน้มเร่งปรับลดวงเงินQE
- นักลงทุนขายหุ้นแทบทุกกลุ่มลดความเสี่ยง รอทิศทางเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 26 ส.ค.ที่ 35,213.12 จุด ลดลง 192.38 จุด หรือ -0.54% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,470.00 จุด ลดลง 26.19 จุด หรือ -0.58% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 14,945.81 จุด ลดลง 96.05 จุด หรือ -0.64%
ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนทั้งในแดนบวก และแดนบวก โดยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดสนามบินกรุงคาบูลเมื่อคืนนี้ โดย Politico ซึ่งเป็นสื่อสหรัฐรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่สหรัฐว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ได้ก่อเหตุระเบิดในครั้งนี้
โดยรายงานล่าสุดระบุว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 ราย และบาดเจ็บ 140 ราย โดยเหตุระเบิดเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่อังกฤษและสหรัฐออกคำเตือนแก่พลเมืองที่ยังคงตกค้างในอัฟกานิสถานให้อยู่ห่างจากสนามบินกรุงคาบูล เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายโจมตี
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมประจำปีของเฟดในวันนี้ โดยนายพาวเวลจะกล่าวสุนทรพจน์ในประเด็น “แนวโน้มเศรษฐกิจ” ในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 21.00 น.ตามเวลาไทย โดยคาดว่า นายพาวเวลจะเปิดเผยโร้ดแมพที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดวงเงิน QE หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณในรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ว่า กรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงิน QE ในปีนี้ จากปัจจุบันที่เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน
ทั้งนี้ นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว Fox ว่า เฟดควรเริ่มปรับลดวงเงิน QE โดยเร็ว ซึ่งจะดีกว่าที่จะปล่อยให้ล่าช้าออกไป เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดแรงงานจะยังคงมีการขยายตัวต่อไป สอดคล้องนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัสกล่าวว่า เขาเชื่อว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นในขณะนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงิน QE ในเดือนต.ค.นี้ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ขณะที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า เฟดควรปรับลดวงเงิน QE โดยเร็ว เพื่อให้โครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ยุติลงในช่วงต้นปี 2565 และปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีดังกล่าว
มีแรงเทขายหุ้นในเกือบทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.51% โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.06% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.59% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.38% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.31% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 2.56% นอกจากนั้น หุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล และหุ้นดอลลาร์ ทรี ซึ่งเป็นห้างดิสเคาท์สโตร์ ร่วงลง 3.9% และ 12.08% ตามลำดับ หลังจากทั้งสองบริษัทระบุว่า ต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท
อย่างไรก็ตาม หุ้นโคตี้ ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 14.63% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
ขณะเดียวกันตัวเลขเศรษฐกิจสำคัฐที่ออกมาต่ำกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2564 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 6.6% ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 6.5% หลังจากที่ขยายตัว 6.3% ในไตรมาส 1 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 353,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 349,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้