

- นักลงทุนยังคงทยอยซื้อหุ้นสะสม ตามข่าวดีรายบริษัท
- หุ้นเทสลาพุ่งแรง ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นปิดแดนบวก
- ตลาดจับตารายงานประกอบการบริษัทยักษ์กลุ่มเทคโนโลยีสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 25 ต.ค.ที่ 35,741.15 จุด เพิ่มขึ้น 64.13 จุด หรือ + 0.18%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,566.48 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.47% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,226.71 จุด เพิ่มขึ้น 136.51 จุด หรือ + 0.90%
นักลงทุนยังคงซื้อหุ้นขานรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี แสดงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.11% โดยหุ้นราล์ฟ ลอเรน ปรับตัวขึ้น 0.76% หุ้นไนกี้ ดีดขึ้น 0.45% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 1.14%% หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ พุ่งขึ้น 2%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 1.19% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.78% หุ้น 3M บวก 0.88%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.44% หลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 85 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.92% หุ้นเชฟรอน บวก 0.93% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 1.27% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 1.06%
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 12.66% ปิดตลาดที่ระดับ 1,024.86 ดอลลาร์ ส่งผลให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขานรับข่าวที่ว่า บริษัทเฮิร์ซ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถยนต์เช่ารายใหญ่ของโลก ได้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาจำนวนมากถึง 100,000 คัน
ทั้งนี้ คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุด และจะทำรายได้ให้แก่เทสลาถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์ โดยภายใต้ข้อตกลงนี้ เทสลาจะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่เฮิร์ซภายในสิ้นปี 2565
หุ้นเพย์พาล โฮลดิ้งส์ (Paypal Holdings) พุ่งขึ้น 2.7% หลังจากเพย์พาลประกาศยกเลิกแผนซื้อกิจการบริษัทพินเทอเรสต์ (Pinterest) ซึ่งเป็นธุรกิจโซเชียลมีเดียในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นพินเทอเรสต์ร่วงลง 12.71%
หุ้นคิมเบอร์ลีย์-คล้าค ผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็ก Huggies ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทปรับลดแนวโน้มผลกำไรในปีงบการเงิน 2564 เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ เฟซบุ๊ก อัลฟาเบท ไมโครซอฟท์ แอมะซอน และแอปเปิล ขณะที่บริษัทแคทเธอร์พิลลาร์ โคคา-โคลา โบอิ้ง และแมคโดนัลด์ มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการเช่นกัน
ข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า บริษัทจำนวน 117 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดย 84% ในจำนวนนี้มีผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 35%