ดาวโจนส์ปิดตลาดบวก 618จุด หวังยุติสงครามการค้ากับจีนช่วยลดเงินเฟ้อ



.ประธานาธิบดีโจ ไบเดนส่งสัญญาณยุติการทำสงครามการค้ากับจีน
.นักเศรษฐศาสตร์ ระบุ หากยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะช่วยลดปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐฯ
.ตลาดจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟด 3-4 พ.ค.นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 23 พ.ค.ที่ 31,880.24 จุด พุ่งขึ้น 618.34 จุด หรือ +1.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,973.75 จุด เพิ่มขึ้น 72.39 จุด หรือ +1.86% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 11,535.27 จุด เพิ่มขึ้น 180.66 จุด หรือ +1.59%

นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นตามปัจจัยข่าวดีของแต่ละเซ็คเตอร์ รวมทั้งราคาหุ้นที่ราคาลดลงมากในช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 3.2% หลังจากเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ธนาคารจะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านรายได้ในปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจการปล่อยกู้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้รับแรงบวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.850% เมื่อคืนนี้

ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 6.14% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 3.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 5.94% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 6.07% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 5.16%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นเนื่องจากแรงช้อนซื้อ โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 4.01% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 3.2% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.37% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ดีดตัวขึ้น 1.39%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพิจารณาปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ของประธานาบดีโจ ไบเดนโดยจะหารือเรื่องดังกล่าวกับนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางเยือนญี่ปุ่น และกลับสู่สหรัฐ

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยการผ่อนปรนหรือการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกเพียงไม่กี่ทางที่ทำเนียบขาวจำเป็นจะต้องทำเพื่อฉุดต้นทุนสินค้าทุกประเภทให้ลดลง หลังจากที่เงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์, อินวิเดีย, คอสต์โค, ดอลลาร์ เจนเนอรัล, นอร์ดสตรอม และเมซีส์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมเดือนพ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธ เพื่อหาทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ของเฟด