

. มีแรงขายมากขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐ หลังปรับขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์
.นักลงทุนขายหุ้นที่ทำกำไร ขณะที่ติดตามประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทที่จะทยอยประกาศ
.นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางใหญ่ๆ ในช่วงนี้
เมื่อเวลาประมาณ 22.35น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,634.75 จุด ลดลง 122.13 จุด หรือ -0.34% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 15,294.00 จุด เพิ่มขึ้น 58.28 จุด หรือ +0.38% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,574.30 จุดลดลงเล็กน้อย 0.49 จุด หรือ -0.01%
ตลาดหุ้นสหรัฐ ย่อตัวลง หลังปรับขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โดยเริ่มเทขายหุ้นที่ทำกำไร และลดความเสี่ยง โดยติดตามผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา รวมทั้งติดตามทิศทางนโยบายการเงินอัตราดอกเบี้ย และทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ราคาหุ้นของเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายวันนี้ หลังเมอร์คอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์โดยไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก โดยองค์การสิทธิบัตรยา (MPP) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยในวันนี้ว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทโคคา-โคล่ารายงานตัวเลขกำไรและรายได้ประจำไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไร 65 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 58 เซนต์/หุ้น มีรายได้ 1.004 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 9.75 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาทิศทางการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั้งในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะจัดการประชุมในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียจะจัดการประชุมในวันอังคารหน้า เชนเดียวกับ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จัดการประชุมในวันอังคารและพุธ ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางนอร์เวย์จัดการประชุมในวันพฤหัสบดี
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่ BoE อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่แล้ว