ดาวโจนส์บวก167จุด รอลุ้นสถานการณ์การเมืองส่งผลต่อการฟื้นเศรษฐกิจ



  • นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งในรัฐจอร์เจีย ชี้อนาคตเดโมเครตคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
  • คาดหวังรัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว
  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับไม่ตะเพิด3หุ้นเทเลคอมจีน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 5ม.ค.ที่ 30,391.60 จุด เพิ่มขึ้น 167.71 จุด หรือ +0.55% ดัชนีเอวแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,726.86 จุด เพิ่มขึ้น 26.21 จุด หรือ +0.71% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 12,818.96 จุด เพิ่มขึ้น 120.51 จุด หรือ +0.95%

ตลาดอยู่ในระหว่างการรอดูสถานการณ์ โดยมีแรงช้อนซื้อหุ้นกลับขึ้นมาหลังดัชนีหุ้นร่วงหนักในวันก่อนหน้า นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นถึง 4.53% โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 5.74% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 4.82% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 2.70% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 8.39

นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งในรัฐจอร์เจีย ซึ่งจะตัดสินว่าพรรคใดสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยการเลือกตั้งดังกล่าวมีกำหนดปิดหีบ และเริ่มนับคะแนนในช่วงเช้านี้เวลา 07.00 น.ตามเวลาไทย

ทั้งนี้ หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็จะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร และเอื้อต่อการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ชัยชนะของพรรคเดโมแครตก็อาจเปิดทางให้นายไบเดนผลักดันมาตรการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเช่นกัน

นักวิเคราะห์จากบริษัทเครสเซท แคปิตอล แมเนจเมนท์ ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้พรรคใดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ไม่ว่าจะพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ และเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจในสภา

หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพดีดตัวขึ้นขานรับความหวังที่ว่า ธุรกิจในภาคส่วนนี้จะได้ประโยชน์ในช่วงที่โควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด โดยหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพิ่มขึ้น 1.18% หุ้นไฟเซอร์ บวก 1.09% หุ้น Abbvie ดีดขึ้น 1.05% หุ้นอิไล ลิลลี่ (Eli Lilly) เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.84%

หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.33% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนสู่ระดับ “buy” โดยเชื่อว่าความต้องการและราคาชิปจะฟื้นตัวขึ้น

นอกจากนั้นหุ้น 3 บริษัทสื่อสารรายใหญ่ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้น โดยหุ้นไชน่าเทเลคอม, ไชน่าโมบายล์ และไชน่ายูนิคอม พุ่งขึ้น 8.8%, 9.3% และ 11.8% ตามลำดับ หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กได้เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ ด้วยการยกเลิกแผนการถอดถอนหุ้นของทั้ง 3 บริษัทออกจากการซื้อขายในตลาด หลังจากที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างชาติ

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.7 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2561 จากระดับ 57.5 ในเดือนพ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56.6 โดยได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน