

.นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังฟื้นตัวต่อเนื่อง
.ตลาดคลายกังวลโอมิครอน ทุบเศรษฐกิจ-ไม่กลับมาล็อกดาวน์
. ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.5%
เมื่อเวลาประมาณ 22.45 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,963.36 จุด เพิ่มขึ้น
209.47 จุด หรือ +0.59% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 15,613.97 จุด เพิ่มขึ้น 92.08 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,725.25 จุด เพิ่มขึ้น 28.69 จุด หรือ +0.61%
ตลาดหุ้นสหรัฐ วันซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนที่ตลาดจะหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส มีแรงซื้อหุ้นต่อเนื่อง โดยนักลงทุนมีมุมมองบวกว่า เศรษฐกิจโลกจะไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน
ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาวันนี้ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 205,000 รายหลังมีการปรับตัวเลข ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากกระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.
นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยด้วยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. หลังจากปรับขึ้น 4.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี
ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่อยู่ที่ระดับ 744,000 ยูนิตในเดือนพ.ย. พุ่งขึ้น 12.4% จากระดับ 662,000 ในเดือนต.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 766,000 ยูนิต
อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ตัวเลขยอดขายบ้านถูกปรับทบทวน ซึ่งรวมถึงในเดือนต.ค. ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับลดยอดขายบ้านใหม่ลงสู่ระดับ 662,000 ยูนิต จากเดิมรายงานที่ระดับ 745,000 ยูนิต